ภายในทะเลลึกที่แปลกประหลาด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวพวกเขานั้นมืดสนิท
แต่ที่ก้นมหาสมุทร มันมีเมืองที่สงบเงียบเมืองหนึ่งตั้งอยู่ มันส่องสว่างราวกับดวงประทีปของแสงศักดิ์สิทธิ์
เมืองใต้น้ำนี้แตกต่างไปจากเมืองอื่นๆที่หานเซิ่นเคยเห็นมาก่อน เมืองศักดิ์สิทธิ์นี้จริงๆแล้วดูเหมือนกับรูปปั้น ทุกสิ่งก่อสร้างเป็นหนึ่งเดียวกัน
มันเป็นรูปปั้นที่สูงหลายสิบชั้นและอิฐทุกก้อนก็ถูกสร้างขึ้นมาจากหยก เมืองแห่งนี้ดูเหมือนกับรูปปั้นหยกที่มาจากอีกโลกหนึ่ง
ที่หานเซิ่นตกใจมากที่สุดก็คือรูปร่างของเมืองใต้น้ำขนาดใหญ่นี้ รูปปั้นมีรูปร่างเหมือนกับอสูรที่กำลังนอนหลับและปลายหางของมันก็ซุกเข้าไปใต้หัว
และใบหน้าของอสูรทำให้หานเซิ่นตกใจอย่างมาก
“แมวเก้าชีวิต!” หานเซิ่นเกือบจะตะโกนออกมา เมืองนี้มีรูปร่างเหมือนกับสร้อยคอแมวเก้าชีวิตที่เขาเคยเป็นเจ้าของ
เมื่อหานเซิ่นและคนอื่นเข้าไปใกล้เมืองหยกนั้น เมืองก็เริ่มดูใหญ่ขึ้น และเมื่อพวกเขาสัมผัสกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องสว่างออกมา แสงของแผ่นหินก็ระเบิดอย่างกะทันหัน
รอยร้าวปรากฏขึ้นมาบนแผ่นหิน ไม่นานหลังจากนั้นแผ่นหินก็แตกสลายในมือของหานเซิ่นและเหลือคริสตัลทิ้งเอาไว้ คริสตัลมีรูปร่างเหมือนกับหยดน้ำ มันลอยออกไปจากนิ้วมือของหานเซิ่นและพุ่งไปที่เมืองหยก
หานเซิ่นเอื้อมมือออกไปคว้ามัน แต่คริสตัลหยดน้ำนั้นรวดเร็วเกินไป หานเซิ่นคว้าน้ำเปล่าๆ ขณะที่คริสตัลบินต่อไปที่หัวของรูปปั้นแมวเก้าชีวิต
ตรงหน้าฝากของเมืองที่ดูเหมือนแมวเก้าชีวิตมีรูปปั้นหยกอยู่ รูปปั้นหยกนั้นดูเหมือนกับแมวเก้าชีวิตที่กำลังนอนหลับเช่นเดียวกัน ถึงแม้มันจะเป็นรูปปั้นที่เล็กกว่า แต่ในหน้าผากของรูปปั้นแมวเก้าชีวิตที่เล็กกว่าก็ยังมีช่องที่ดูเหมือนหยดน้ำอยู่ มันดูเหมือนกับช่องของดวงตาดวงที่ 3
คริสตัลสวมตัวเองเข้าไปในช่องรูปหยดน้ำแบบพอดิบพอดี มันพอดีซะจนไม่มีรอยต่อเหลือให้เห็น และเมื่อรูปปั้นแมวเก้าชีวิตสมบูรณ์ มันก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
รูปปั้นแมวเก้าชีวิตค่อยๆลืมตาขึ้นมา มันนอนอย่างขี้เกียจอยู่เป็นนาทีและขยับอุ้งมือไปขยี้ดวงตาแมวที่ดูง่วงของมัน มันเงยหัวขึ้นมามองหานเซิ่นและคนอื่นๆที่ลอยตัวอยู่เหนือเมืองหยก พวกเขาทั้ง 3 สงสัยว่าควรจะเข้าไปหรือไม่ แต่ทันใดนั้นแมวเก้าชีวิตก็ยกอุ้งมือขึ้นมาและโบกเรียกพวกเขาราวกับแมวนำโชค
พวกเขารู้สึกราวกับว่าถูกพลังบางอย่างที่ไม่สามารถต่อต้านได้ พวกเขาทั้งหมดรวมถึงกิเลนโลหิตถูกดูดเข้าไปที่เมืองหยกราวกับว่ามันเป็นแม่เหล็ก พวกเขาใช้พลังทั้งหมดของตัวเองเพื่อต่อต้านมัน แต่พวกเขาก็ยังถูกดึงไปอยู่ดี
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงกระแทกดังขึ้น 4 ครั้ง ขณะที่พวกเขาร่วงลงบนพื้น พวกเขาลงมาอยู่ตรงหน้าปราสาทที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของรูปปั้นแมวหยก
“ผู้คนที่น่าสงสารทั้งหลาย ยินดีต้อนรับสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์”
ตอนนี้รูปปั้นแมวเก้าชีวิตมองพวกเขาจากด้านบน เขี้ยวของมันแสยะออกมาเป็นบางครั้งดูเหมือนกับรอยยิ้ม แต่ใบหน้าของมันไม่ได้ดูรื่นเริงอะไรนัก
พวกเขาทั้ง 3 มองหน้ากัน พวกเขาไม่รู้ว่าทั้งหมดนี่คืออะไรกันแน่ แต่พวกเขาก็รู้ว่าต้องระวังตัวเอาไว้ พวกเขาจ้องมองไปที่รูปปั้นแมวเก้าชีวิต
“อย่าได้กลัว ข้าเป็นแค่สปิริตผู้พิทักษ์ที่ปกป้องเมืองแห่งนี้ ข้าจะไม่ทำร้ายพวกเจ้า” แมวหยกยังคงมีรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับรอยยิ้มจริงๆ
หลังจากนั้นโทนเสียงของมันก็เปลี่ยนไป “แต่เนื่องจากพวกเจ้าเข้ามาในเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบของผู้นำของเซเคร็ดไม่ได้ พวกมันก็คงจะฆ่าพวกเจ้า”
“ทำไมพวกเราต้องยอมรับการทดสอบของเจ้าด้วย?” ครามถาม
ถึงแม้จะเป็นรูปปั้น แต่แมวเก้าชีวิตก็ดูเหมือนจะคิดด้วยตัวเองได้ มันยิ้มให้กับครามและพูด “ไม่เป็นไร ถ้าพวกเจ้าจะไม่เข้ารับการทดสอบ นั่นหมายความว่าพวกเจ้ายอมแพ้ และพวกเจ้าก็ตายซะเดี๋ยวนี้”
ครามขมวดคิ้ว เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กุนซือไวท์หยุดเขาเอาไว้
กุนซือไวท์มองไปที่รูปปั้นแมวหยกและถาม “การทดสอบแบบไหนกันที่รอพวกเราอยู่? และถ้าพวกเราผ่าน พวกเราจะได้อะไร?”
แมวหยกมองไปที่กุนซือไวท์ มันยิ้มและพูด “มันเป็นอะไรง่ายๆ แค่ใช้ชีวิตในเมืองศักดิ์สิทธิ์ ถ้าพวกเจ้ารอดชีวิตได้เป็นเวลาสิบวัน พวกเจ้าก็จะได้รับบางสิ่งจากคลังสมบัติของผู้นำเซเคร็ด ขอให้โชคดี! พยายามอย่าตายเร็วเกินไป”
หลังจากที่รูปปั้นแมวหยกพูดจบ ทุกประตูของปราสาทและห้องทั่วเมืองก็เปิดออก ซีโน่เจเนอิคที่น่ากลัวมากมายเริ่มจะคืบคลานกันออกมา เกล็ดของกิเลนโลหิตตั้งตรงราวกับขนของสุนัข มันปลดปล่อยลมปราณโลหิตออกมาพร้อมกับส่งเสียงขู่ใส่สิ่งมีชีวิตที่คืบคลานเข้ามา แต่เสียงของมันฟังดูสั่นๆราวกับว่าเจ้ากิเลนโลหิตกำลังหวาดกลัว
ซีโน่เจเนอิคทั้งหมดทำเหมือนกับว่าพวกมันไม่ได้ยินเสียงขู่ของกิเลนโลหิต พวกมันทั้งหมดออกมาจากปราสาทและมุ่งหน้ามาที่ลานกว้าง
พวกมันมองมาที่หานเซิ่น กิเลนโลหิต กุนซือไวท์และคราม
ซีโน่เจเนอิคมากมายปรากฏตัวออกมาและพวกมันส่วนใหญ่ก็เป็นชนิดที่หานเซิ่นไม่เคยรู้จักมาก่อน พวกมันบางตัวดูคุ้นเคย แต่ความคุ้นเคยนั้นก็เป็นอะไรที่คลุมเครือไม่แน่ชัด
มันมีสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนกับเฟเธอร์ที่มีปีกสีทอง 6 ปีกและกาน่าที่มีเขาของมังกร แต่พวกมันส่วนใหญ่เป็นซีโน่เจเนอิคที่หานเซิ่นไม่เคยเห็นมาก่อน พวกมันค่อยๆเคลื่อนที่เข้ามาอย่างช้าๆ พลังของพวกมันล้นหลามและเพียงแค่สัมผัสได้ถึงตัวตนของพวกมันก็ทำให้หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าต้องแบกรับภูเขาทั้งลูกเอาไว้
“นกสายฟ้าระดับเทพเจ้า… สปิริตนภาระดับเทพเจ้า… นางฟ้าทอง 6 ปีกระดับเทพเจ้า… กาน่ามังกรระดับเทพเจ้า….” ครามกรีดร้อง
ทุกชื่อที่ครามตะโกนออกมาทำให้หานเซิ่นรู้สึกแย่ขึ้นเรื่อยๆ การได้เห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นทำให้หานเซิ่นมีคำถามมากมาย แค่คำพูดของครามนั้น ทำให้เขาอึ้งไป
ซีโน่เจเนอิคทั้งหมดที่เดินออกมาจากปราสาทเป็นระดับเทพเจ้าทั้งหมด
“นี่เป็นไปได้ยังไงกัน…” หานเซิ่นตกตะลึง มันมีซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้านับร้อยล้อมลานกว้างเอาไว้
ด้วยซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้ามากมายขนาดนี้ ทั้งจักรวาลจีโนก็สามารถถูกยึดครองได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ 3 เผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดร่วมมือกันก็ไม่อาจจะต่อต้านกองกำลังนี้ได้
การใช้กองกำลังขนาดนี้เพื่อทำการทดสอบเป็นเหมือนกับการใช้ระเบิดนิวเคลียร์เพื่อฆ่ายุงตัวหนึ่ง
“นี่จะต้องเป็นกลลวงอะไรบางอย่างแน่ มันต้องเป็นกลลวงแน่ๆ บางทีมันอาจจะเป็นแค่ภาพมายา เซเคร็ดไม่มีทางมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้ามากมายขนาดนี้ไปได้ และถึงพวกเขาจะมี สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าทั้งหมดก็ไม่อาจจะมาอยู่ที่นี่พร้อมกัน…”
หานเซิ่นอดไม่ได้ที่จะขยี้ตาตัวเอง เขาเรียกวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงออกมาเพื่อดูสิ่งมีชีวิตตรงหน้าชัดๆ
และเมื่อเขาทำอย่างนั้น เขาก็เห็นพลังที่สามารถกำราบทุกสิ่งมีชีวิตในจักรวาลได้
เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้รวมมือกัน พวกมันก็สามารถทำลายได้ทุกสิ่ง ทันใดนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่เดินเข้ามาในนรก เขารู้สึกอ่อนแอและเปราะบาง ขณะที่สายตาที่ชั่วร้ายมองมาที่เขาจากความมืด