คนที่ถูกล่ามโซ่เดินเข้ามาหาหานเซิ่น ถึงแม้เขาจะเดินอย่างช้าๆ แต่เขาก็เข้ามาใกล้มากแล้ว วินาทีต่อมาเขาก็มายืนอยู่ด้านหลังหานเซิ่น
ขณะที่เขาเดินมา เสียงลากโซ่ก็ดังขึ้นมาให้ได้ยิน แต่เมื่อเขามาหยุดอยู่ด้านหลังของหานเซิ่น ทุกอย่างก็เงียบไป หานเซิ่นไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจหรือเสียงหัวใจของอีกฝ่าย มันเหมือนกับว่าคนๆนั้นไม่มีตัวตนอยู่อีกแล้ว
หานเซิ่นใช้ออร่าตงเสวียนเพื่อสแกนด้านหลัง แต่เขาก็ต้องตกใจที่พบว่าไม่สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของคนที่ถูกล่ามโซ่อีกแล้ว หานเซิ่นรู้สึกขนลุกขึ้นมา
คนที่ถูกล่ามโซ่กำลังยืนอยู่ด้านหลังของเขา แต่เขาสัมผัสคนที่ถูกล่ามโซ่คนนี้ไม่ได้เลย การที่สัมผัสถึงตัวตนของอีกฝ่ายไม่ได้นั้นทำให้หานเซิ่นตื่นตระหนกอย่างมาก เขาอยากจะวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในตอนนี้เขาจำเป็นต้องร่ายผนึก 4 สัญลักษณ์ ถ้าเกิดเขาทิ้งตำแหน่งของตัวเองไป ผนึก 4 สัญลักษณ์ก็จะพังทลาย ถ้าพวกเขาคนไหนพยายามจะวิ่งหนีไป พวกเขาทุกคนก็จะตายกันหมด
รังนกยังคงวางอยู่บนหัวของหานเซิ่น เขาบังคับตัวเองไม่ให้หันไปมองและคิดกับตัวเอง ‘แกอยู่ด้านหลังของฉันแล้วยังไง? แกไม่มีทางจะทำลายรังนกนี้ได้ ฉันไม่มีอะไรต้องกลัว’
หานเซิ่นยืนประจำตำแหน่งและไม่เคลื่อนไหว เขาไม่กล้าจะหันกลับไปมองด้านหลัง เขายังคงปล่อยพลังผ่านสัญลักษณ์นกแดงเพื่อคงผนึกที่กักขังซีโน่เจเนอิคเอาไว้
แต่เมื่อหานเซิ่นมองกุนซือไวท์และคนอื่นๆ เขาก็รู้สึกแปลกใจ
ใบหน้าของกุนซือไวท์ดูแปลกๆ แต่หานเซิ่นอ่านสีหน้าของเขาไม่ออก แต่สีหน้าของครามอ่านง่าย เขากำลังตกตะลึง เขาจ้องมองไปที่ด้านหลังของหานเซิ่นด้วยดวงตาที่เบิกกว้างราวกับว่าเขาเห็นผี
การตอบสนองของกิเลนโลหิตเป็นอะไรที่โอเวอร์มากกว่า มันส่งเสียงคำรามใส่หานเซิ่นราวกับว่ามันเป็นการเตือนที่เร่งด่วน
‘นี่เขากำลังทำอะไรอยู่ด้านหลังของฉัน?’ หานเซิ่นรู้สึกหนาวขึ้นมา เขายังคงสัมผัสตัวตนที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ มันเหมือนกับว่าคนที่ถูกโซ่ล่ามไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นผีของคนที่ตายไปแล้ว
กุนซือไวท์กลืนน้ำลาย สีหน้าของเขาดูซีดไป แต่เขาก็ยังคงไม่พูดอะไรสักคำ
สีหน้าของคนอื่นๆทำให้หานเซิ่นกังวลยิ่งกว่าเดิม เขาอดไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงหันหน้าไปมอง แต่เขาไม่สามารถหันไปได้มากนัก เพราะถ้าเขาขยับมือหรือร่างกาย มันอาจจะทำให้ผนึกถูกทำลายได้ หลังจากที่หันหัวไปด้านซ้าย เขามองไม่เห็นอะไร
หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองด้านขวา แต่เขาก็ยังมองไม่เห็นอะไร หานเซิ่นอยากจะบิดตัวไปมองว่าคนที่ถูกล่ามโซ่นั้นกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ แต่เขาไม่สามารถขยับร่างกายของเขาได้
สีหน้าของคนอื่นยังคงไม่เปลี่ยนไป สายตาของพวกเขายังคงจ้องมองไปที่ด้านหลังของหานเซิ่น ซึ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความกลัว
‘ฉันมีรังนกปกป้องตัวเองอยู่ ไม่มีอะไรต้องกลัว’ หานเซิ่นกัดฟันและยังคงไม่ขยับไปไหน
แต่ทันใดนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกหนาวขึ้นมา เขารู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งเป่าลมหายใจมาใส่คอของเขา หานเซิ่นเคยเห็นอะไรที่น่ากลัวมามากมาย ดังนั้นเขาไม่ได้หวาดกลัวอะไรง่ายๆ แต่การที่มองไม่เห็นอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
“อย่าขยับ!” กุนซือไวท์พูดกับหานเซิ่น
“เขากำลังทำอะไรอยู่ด้านหลัง?” หานเซิ่นถาม เสียงของเขาดูตึงเครียด
น่าเสียดายที่กิเลนโลหิตไม่สามารถพูดได้ ถ้ามันพูดได้ล่ะก็ หานเซิ่นก็คงจะถามมัน ครามไม่น่าเชื่อถือพอที่หานเซิ่นจะเสียเวลาไปถามเขา
“นั่นมัน… ยากจะอธิบาย” กุนซือไวท์ขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาดูแย่ มันดูเหมือนกับว่าเขาไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
การเห็นกุนซือไวท์ลังเลทำให้หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาไม่รู้เลยว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นด้านหลังของเขากันแน่
หานเซิ่นไม่คิดว่าครามกับกุนซือไวท์จะโกหกเขา เพราะว่ากลัวเขาจะเคลื่อนไหวและทำให้ผนึก 4 สัญลักษณ์ถูกทำลาย นั่นมันไม่สมเหตุสมผล
เพราะถ้าหานเซิ่นถูกโจมตีและได้รับบาดเจ็บ ผนึก 4 สัญลักษณ์ก็จะถูกทำลายอยู่ดี มันไม่มีทางที่พวกเขาจะนิ่งเงียบๆและบอกให้หานเซิ่นไม่ขยับเขยื้อนแบบนี้
‘ถ้ามันไม่ได้เป็นอันตรายอะไร ทำไมพวกเขาถึงไม่บอกเราว่าเกิดอะไรขึ้น?’ หานเซิ่นสงสัย หลังของเขารู้สึกหนาวขึ้นเรื่อยๆ และความกังวลของเขาก็เพิ่มขึ้นไปอีก
กุนซือไวท์และครามยังคงจ้องไปที่ด้านหลังของเขา กิเลนโลหิตก็ยังคงคำรามใส่หานเซิ่นราวกับว่ามันอยากจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา
หานเซิ่นไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาตัดสินใจเรียกเป่าเอ๋อออกมาและขอให้เธอมองดูคนที่อยู่ด้านหลังของเขา
เป่าเอ๋อปรากฎบนไหล่ของหานเซิ่น หานเซิ่นพูดกับเธอ
“เป่าเอ๋อ หนูช่วยมองคนที่อยู่ด้านหลังพ่อได้ไหมว่าเขากำลังทำอะไร”
เป่าเอ๋อพยักหน้า เธอเอนตัวไปมองด้านหลังของหานเซิ่น เธอสะดุ้งกลับมาด้วยความประหลาดใจและพูด
“พ่อ…ด้านหลังของพ่อ…”
“ด้านหลังของพ่อมีอะไร?” หานเซิ่นรีบถาม
“มันมีคนกำลังวาดภาพบนหลังของพ่อ” เป่าเอ๋อพูด
“วาดภาพ?” หานเซิ่นอึ้งไปกว่าหนึ่งนาที เขารู้สึกสับสนและเขาก็คิดกับตัวเอง
‘คนที่ถูกล่ามโซ่คนนี้กำลังวาดภาพบนหลังของเรา? นี่เขาเป็นจิตรกรหรือยังไง? นี่เขาชอบวาดภาพบนร่างกายคนอย่างนั้นหรอ? นี่ร่างกายของเราดีเกินไปและเขาอดไม่ได้ที่จะใช้ร่างกายที่ละเอียดอ่อนของเราวาดภาพอย่างนั้นใช่ไหม? ไม่มีทาง! ถ้าเขาชอบวาดภาพบนร่างกายจริงๆ เขาก็ควรจะไปหาสาวสวยๆสิ ทำไมเขาต้องมาวาดภาพบนหลังของเราด้วย?’
“เป่าเอ๋อนี่เขากำลังวาดภาพอะไร?” หานเซิ่นรีบถาม เป่าเอ๋อเอนตัวไปมองด้านหลังของหานเซิ่นอีกครั้ง แต่เธอไม่พูดอะไร
“เป่าเอ๋อ เขากำลังวาดภาพอะไร?” หานเซิ่นถามอีกครั้ง เขาไม่ได้หวาดกลัว เขาแค่ไม่ชอบมันเท่านั้น
เป่าเอ๋อดูลังเล แต่สุดท้ายเธอก็พูด “มันดูเหมือน… มันดูเหมือนว่าเขากำลังวาดภาพคนอยู่… ใช่แล้ว ภาพผู้หญิงคนหนึ่ง”
“ผู้หญิงคนหนึ่ง? ผู้หญิงแบบไหนอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นรู้สึกอึ้ง โครงกระดูกที่ปรากฏตัวออกมาจากที่ไหนไม่รู้กำลังวาดภาพของผู้หญิงบนหลังของเขา นี่มันน่าขนลุกเกินไปแล้ว และมันทำให้หานเซิ่นรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
ดูเหมือนเป่าเอ๋อไม่รู้ว่าจะอธิบายสิ่งที่เธอเห็นได้ยังไง ด้วยความลังเลเธอพูดขึ้นมา “น่าเกลียด ผู้หญิงที่น่าเกลียด”
หานเซิ่นรู้สึกว่าชีพจรของเขาเต้นรัว ตอนนี้นักโทษที่น่าเกลียดกำลังวาดภาพผู้หญิงที่น่าเกลียดบนหลังของเขา นี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ปากของหานเซิ่นเปิดกว้าง เขาพยายามจะถามอีกคำถาม แต่เขาไม่รู้ว่าจะถามอะไรดี
เป่าเอ๋อสังเกตหลังของเขาเพิ่มอีก และเธอก็พูด “พ่อ เขาวาดต่อไม่ได้อีกแล้ว”
“ทำไมกัน?” หานเซิ่นถามอย่างสงสัย
ครั้งนี้เป่าเอ๋อตอบอย่างรวดเร็ว “เลือดของผู้หญิงที่มือของเขากำลังแห้งไป และมันไม่มีอะไรเหลือให้ใช้วาดอีก”
“อะไรนะ? เขากำลังใช้เลือดของผู้หญิงวาดภาพบนหลังของพ่อ?”
หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าหัวกำลังจะระเบิด เขาไม่สามารถจินตนาการถึงภาพของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นด้านหลังได้