ขณะที่วาฬขาวเดินทางออกจากระบบไอซ์บลู หานเซิ่นก็ขับมันไปยังจุดที่ราชาไนท์ริเวอร์เคยประจำการอยู่ แต่ทว่าเขาไม่เจออะไรที่ผิดปกติ และเขาก็ไม่สามารถตามหาร่องรอยของสีม่วงประหลาดที่ราชาไนท์ริเวอร์พูดถึงได้
หานเซิ่นยังไปพบกับอัศวินไอซ์บลูคนที่มาประจำการต่อจากราชาไนท์ริเวอร์ แต่อัศวินคนนั้นไม่เห็นอะไรผิดปกติในช่วงที่เขาประจำการอยู่ที่นั่น
‘แปลกจริงๆ สีม่วงที่ราชาไนท์ริเวอร์พูดถึงคืออะไรกันแน่? ทำไมเขาจะต้องเขียนไดอารี่ด้วยรหัสลับด้วย?’ หานเซิ่นไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะอยู่ที่นั่นต่อเพื่อหาความจริงเช่นกัน
หานเซิ่นขับวาฬขาวตรงกลับไปที่แนร์โรว์มูน ในระหว่างทางเขาไม่ได้เห็นอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งหรือแมงมุมหลุมดำ แต่ทว่าพวกเขาได้เจอกับกุ้งกาแลกติกจำนวนมาก โชคดีที่การโจมตีของกุ้งกาแลกติกไม่สามารถเจาะทะลุการป้องกันของวาฬขาวได้ นอกจากนั้นพวกมันก็ไม่ได้เร็วเท่ากับวาฬขาว การมียานอวกาศอย่างวาฬขาวจะทำให้พวกเขาปลอดภัย ตราบใดที่พวกเขาเผชิญกับซีโน่เจเนอิคธรรมดาอย่างกุ้งกาแลกติก ถ้าพวกเขาจะเจอกับปัญหา มันก็คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งและแมงมุมหลุมดำเท่านั้น แน่นอนว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น หานเซิ่นก็ยังมียอดฝีมือระดับเทพเจ้าอย่างอี๋ซาร่วมเดินทางไปด้วย
อี๋ซาและหานเซิ่นสามารถเดินทางออกจากระบบจักรวาลเคออสได้อย่างปลอดภัย และพวกเขาจะกลับถึงแนร์โรว์มูนในเร็วๆนี้
…
“มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ? ทำไมขุนนางทุกคนถึงสั่งให้ไปที่ฟลูมูนฮอลล์?”
“นี่เจ้าไม่ได้ยินข่าวอย่างนั้นหรอ? ราชินีแห่งมีดกลับมาแล้ว!”
“ราชินีแห่งมีดกลับมาแล้ว? นั่นเป็นไปได้ยังไง? ข้าคิดว่านางตายในระบบจักรวาลเคออสซะอีก”
“นั่นคือสิ่งที่ขุนนางคนอื่นก็คิดเหมือนกัน นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาปล้นมรดกของนางไปอย่างไม่เกรงกลัว แต่นางกลับมาจริงๆ และไม่ใช่แค่นั้น นางกลับมาในระดับเทพเจ้าอีก”
“อะไรนะ? นางกลายเป็นระดับเทพเจ้าแล้ว? นี่มันเยี่ยมไปเลย! ในที่สุดรีเบทของพวกเราก็มียอดฝีมือระดับเทพเจ้าซะที ทีนี้มันจะไม่มีใครกล้ามาดูถูกพวกเราอีก ท่านราชินีแข็งแกร่งที่สุด”
“มันอาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา แต่สำหรับขุนนางที่แบ่งสมบัติของนางล่ะ? พวกเขาขโมยมรดกของนางและบดขยี้ลูกศิษย์เพียงคนเดียวของนาง ตอนนี้เมื่อนางกลับมาในระดับเทพเจ้า พวกเขาก็คงจะกลัวจนตัวสั่น”
“พวกเขาสมควรโดนแล้ว พวกเขาคิดว่าตัวเองสูงส่งจะรังแกใครคนไหนก็ได้”
“ข้าดีใจจริงที่ขุนนางพวกนั้นจะได้รับบทเรียนซะบ้าง พวกเขาชอบรังแกพวกเรา ตอนนี้เมื่อปัญหามาถึงตัวพวกเขา พวกเขาก็สมควรโดนแล้ว”
ขณะที่ผู้คนของแนร์โรว์มูนกำลังพูดคุยกันถึงการกลับมาของราชินีแห่งมีด การพูดคุยที่จริงจังยิ่งกว่ากำลังเกิดขึ้นในฟลูมูนฮอลล์
“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้! อี๋ซา…หานเซิ่นเป็นแค่คนนอกคนหนึ่ง! เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูด
ราชาฟลาวเวอร์พูด “อี๋ซา… เจ้าไม่คิดว่านี่จะไม่เหมาะสมไปหน่อยหรอ? เด็กศักดิ์สิทธิ์คือคนที่เก่งที่สุดและเป็นความหวังของเผ่ารีเบท หานเซิ่นไม่ใช่คนเผ่าพันธุ์เดียวกับพวกเราด้วยซ้ำ ถึงแม้พวกเราจะบังคับให้เขามาเป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์ ประชากรของพวกเราก็ต้องปฏิเสธการเลือกนี้แน่ๆ”
“อี๋ซา ได้โปรดคิดดูอีกทีด้วย!” ราชาแบล็คมูนชอบหานเซิ่น แต่เขาไม่คิดว่านี่เป็นอะไรที่ถูกต้อง
ขุนนางทุกคนคัดค้านการตัดสินใจของอี๋ซาที่จะแต่งตั้งหานเซิ่นเป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ภายในฟลูมูนฮอลล์นั้นเต็มไปด้วยเสียงตะโกนที่ดังยิ่งกว่าในตลาด
ราชากงล้อจันทรายกมือเพื่อบอกให้ทุกคนเงียบ หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่อี๋ซาและพูด
“อี๋ซา พวกเรายินดีจะมอบอะไรก็ตามที่เขาสมควรจะได้รับ แต่ตำแหน่งเด็กศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเกินไป มันมีผลต่อศักดิ์ศรีของเผ่าเรา เจ้าช่วยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกที”
“พวกเจ้าพูดกันเสร็จหรือยัง?” อี๋ซานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะประชุม เธอมองขุนนางทั้งหมดที่มารวมตัวกันอย่างเย็นชา
ขุนนางทุกคนรู้สึกหนาวขึ้นมา เมื่อสายตาของเธอจ้องมาที่พวกเขาแต่ละคน พวกเขาเงียบไป และแม้แต่ยอดฝีมือระดับราชันอย่างราชาฟลาวเวอร์ก็ไม่เว้น
หลังจากที่ทุกคนพูด อี๋ซาก็พูดอย่างช้าๆด้วยเสียงที่หนักแน่น
“ถ้าข้ายังยืนกรานจะให้หานเซิ่นเป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์ล่ะ?”
“อี๋ซา ถ้าเจ้า… ถ้าเจ้ายังยืนกราน อย่างนั้นแล้วเจ้าก็ต้องอภัยให้พวกเราสำหรับความประพฤติที่ไม่สมควร เหล่าผู้อาวุโสจะไม่มีวันเห็นด้วยกับเรื่องนี้ และข้าแน่ใจว่าเหล่าราชันในที่นี้เองก็ไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกัน”
สมาชิกของสภาผู้อาวุโสพยายามจะเกลี้ยกล่อมเธอ “อี๋ซา! ที่พวกเราปฏิเสธการตัดสินใจของเจ้าก็เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของรีเบท พวกเราจะปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราสร้างขึ้นมาเพื่อรีเบทถูกทำลายไม่ได้”
“เจ้ากำลังบอกว่าข้าจะทำลายรีเบทอย่างนั้นสินะ?” อี๋ซาถามอย่างเย็นชา
“อี๋ซา พวกเราไม่ได้หมายความแบบนั้น…” ผู้อาวุโสต้องการจะพูดมากกว่านั้น แต่อี๋ซาขัดเขาเอาไว้ก่อน
อี๋ซากวาดสายตามองเหล่าขุนนางและไปหยุดอยู่ที่ราชากงล้อจันทรา
“ข้าเรียกพวกเจ้าทั้งหมดมาที่นี่ก็เพื่อบอกถึงการตัดสินใจของข้า ข้าไม่ได้เรียกพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อฟังความคิดเห็นในเรื่องนี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หานเซิ่นก็คือเด็กศักดิ์สิทธิ์ของรีเบท ถ้าพวกเจ้ามีปัญหาอะไรกับการตัดสินใจนั้น ก็ว่ามาได้เลย”
ขุนนางทั้งหลายอึ้งไป ถึงแม้พวกเขาจะคัดค้าน แต่ไม่มีใครอยากจะเผชิญหน้ากับอี๋ซา พวกเขาทั้งหมดมองไปที่ราชากงล้อจันทรา
ราชากงล้อจันทราขมวดคิ้วและมองไปที่อี๋ซา “ถ้าพวกเราทั้งหมดคัดค้านล่ะ?”
อี๋ซาหัวเราะ เธอยืนขึ้นและมองขุนนางทุกคนที่มารวมตัวกัน เธอพูดอย่างช้าๆ “ฟังให้ดี! จากนี้เป็นต้นไป แนร์โรว์มูนคือแนร์โรว์มูนของข้า รีเบทมีราชินีเพียงแค่คนเดียว ใครก็ตามที่ติดตามข้าจะมีชีวิตต่อไป แต่ใครก็ตามที่คิดทรยศข้าจะต้องตาย พวกเจ้าจะคัดค้านข้าก็ได้ แต่ถ้าพวกเจ้าขัดคำสั่งแม้แต่นิดเดียว ข้าจะถือว่าพวกเจ้าเป็นศัตรู ข้าไม่รังเกลียดที่จะให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมารับตำแหน่งในแนร์โรว์มูน”
…
ตลอดหลายเดือนต่อมา การเมืองของรีเบทแปรผันอย่างไม่แน่นอน คนที่มีอำนาจถูกเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ ตระกูลต่างๆผงาดขึ้นมาใหญ่และตกต่ำลงอยู่เป็นกิจวัตรประจำวัน
หานเซิ่นรู้สึกนับถือในความเด็ดขาดของอี๋ซา เมื่อเธอตัดสินใจแล้ว เธอก็เข้าควบคุมสังคมของรีเบททันที
ก่อนหน้านี้เธอขาดความแข็งแกร่งที่จะทำอะไรแบบนี้ แต่ตอนนี้เธอเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า เธอสามารถกำราบใครก็ตามที่กล้าขัดคำสั่งของเธอ เธอกลายเป็นผู้ปกครองแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งทำให้ปัญหาที่ซับซ้อนถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว
แต่ปัญหาอื่นก็เริ่มตามมา มันมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกภายในรีเบท และไม่มีใครพูดได้อย่างมั่นใจว่าอี๋ซาจะสามารถสมานฉันท์ทุกฝ่ายภายใต้การเผด็จการของเธอ
บางปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยกำลังเพียงอย่างเดียว การครองบัลลังก์เป็นเพียงแค่ก้าวแรกของอี๋ซา เส้นทางข้างหน้าของเธอยังคงอีกยาวไกล
หานเซิ่นเชื่อมั่นในตัวอี๋ซา แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองของรีเบทมากนัก เขายุ่งอยู่กับการตรวจดูข้อมูลที่ได้รับมาจากกุนซือไวท์
เทคนิคของสำนักเสวียนเป็นอะไรที่ลึกซึ้งอย่างมาก และมันมีข้อมูลมากมายต้องศึกษา ซึ่งมันมากกว่าแค่วิชาจีโนไม่กี่ตัว เทคนิคบางอย่างที่หานเซิ่นอ่านอาจจะต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าที่จะเข้าใจอย่างแท้จริง