‘นกแดงน้อยกำลังจะฟักออกมาอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดอย่างประหลาดใจ
แต่ขณะที่มองดูต่อไป ใบหน้าของหานเซิ่นก็เริ่มถอดสี โซ่สสารที่เชื่อมต่อกับรังนกเริ่มจะถูกดึงเข้าไปในไข่ รังนกเริ่มจะล่มสลายไปที่ละชิ้นๆ
ชิ้นของหญ้าแห้งร่วงลงจากรังนกและเปลี่ยนกลายเป็นผุยผงในอากาศ พวกมันสลายจนไม่เหลืออะไร
“โอ้ไม่นะ เจ้านกน้อยนี้กำลังดูดพลังของรังนกไหมอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นเอื้อมมือออกไปเพื่อจะปกป้องรังนกเอาไว้ แต่เมื่อฝ่ามือของเขาสัมผัสกับเปลวไฟสีแดง ร่างกายของเขาก็เริ่มแก่และแห้งเหี่ยว ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีเขาก็ดูแก่เหมือนกับว่ากำลังจะหมดลมหายใจ
หานเซิ่นรีบดึงมือกลับมา เมื่อมือของเขาไม่ได้เข้าไปใกล้เปลวไฟสีแดง ร่างกายของเขาก็กลับเป็นปกติ เขาไม่ได้ดูแก่อีกต่อไป
ภาพการย่อยสลายของรังนกทำให้หัวใจของหานเซิ่นปวดร้าว
และมันยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เป็นปัญหา องค์หญิงไป๋เวยบอกให้เขาเก็บรังนกของอันดายอิ้งเอาไว้ ซึ่งมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเธอกลับมาขอรังนกที่หายไป? เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะทำยังไง?
แต่ทว่าถึงจะมาคิดในตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไข่ของนกแดงดูดซับพลังของรังนกไปเกือบจะหมดแล้ว
เปลวไฟสีแดงของไข่เผาไหม้อย่างร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ตัวไข่เองนั้นดูบางและโปร่งใสขึ้น ไข่โปร่งใสถึงขนาดที่หานเซิ่นมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้
นกแดงยังคงขดตัวอยู่ภายในไข่และหลบไหลอย่างสงบสุข ร่างกายของมันเต็มไปด้วยไฟ และดูเหมือนกับว่ามันกำลังจะตื่นขึ้นจากการหลับใหล
เมื่อเปลือกไข่บางจนเหมือนกับแผ่นกระดาษ ในที่สุดมันก็แตกร้าว เปลือกไข่แตกสลายและถูกเปลวไฟเผาผลาญจนไม่เหลืออะไร นกแดงน้อยร่วงออกมา มันกางปีกออกและเปลวไฟก็ออกจากร่างกายของมัน มันกลายเป็นฟินิกซ์สีแดง
มันโบยบินในอากาศทันที มันบินวนรอบหานเซิ่น 3 รอบและพยักหน้าให้กับเขาซ้ำๆ หลังจากนั้นมันก็บินลงมาบนไหล่ของเขา
การเคลื่อนไหวของมันทำให้หานเซิ่นตกใจ เปลวไฟบนร่างกายของมันไม่ใช่ไฟธรรมดาๆ หานเซิ่นเพียงแค่เอื้อมมือออกไปสัมผัสกับมัน เขาก็เกือบจะแก่ตาย เขากังวลว่าถ้าเจ้านกลงมาบนไหล่ของเขา เขาจะแก่จนร่างกายย่อยสลายกลายเป็นผุยผง
หานเซิ่นเกร็งตัวขณะที่นกแดงน้อยบินลงมา อย่างน้อยๆเปลวไฟของมันก็ดับลงไปแล้ว และตอนนี้มันก็ดูเหมือนนกแดงน้อย มันลงมาเกาะบนไหล่ของหานเซิ่นเหมือนอย่างที่มันเคยทำ
หานเซิ่นถอนหายใจ โชคดีที่นกแดงน้อยพอจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง ถ้ามันไม่จำกัดพลังของตัวเองเอาไว้ เรื่องร้ายก็อาจจะเกิดขึ้นกับเขา
“แดงน้อย!” เป่าเอ๋อวิ่งเข้ามาจากด้านนอก เธอดูดีใจเมื่อได้เห็นนกแดงน้อย
นกแดงน้อยเกาะอยู่บนไหล่ของหานเซิ่นอย่างเงียบๆ แต่เมื่อมันได้ยินเสียงของเป่าเอ๋อ มันก็ทะยานออกไปในทันที มันบินเข้าไปหาเป่าเอ๋อและปล่อยให้เป่าเอ๋อลูบขนของมัน นกแดงน้อยดูจะเพลินเพลินและมันก็ก้มหัวลงมาให้เป่าเอ๋อลูบ
“นี่มันอะไรกัน? ฉันเป็นเจ้านายของนายนะ!” หานเซิ่นเบะปาก เขามองนกแดงน้อยด้วยรอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตร
นกแดงน้อยดูเหมือนจะรับรู้ถึงสีหน้าของหานเซิ่น มันรีบบินไปด้านหลังของเป่าเอ๋อและมองมาที่หานเซิ่นด้วยการยื่นหัวข้ามไหล่ของเป่าเอ๋อ
“เจ้านี้กินเนื้อของเรเวนอาทิตย์เข้าไป มันควรจะเป็นระดับเทพเจ้า แต่ทำไมมันถึงยังตัวเล็กอยู่?” หานเซิ่นสับสน
แต่พลังภายในตัวนกแดงน้อยพิสูจน์ถึงระดับของมัน แม้แต่หานเซิ่นก็ไม่สามารถทนต่อไฟของมันได้แม้แต่วินาทีเดียว มันจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าอย่างแน่นอน
ช่วงนี้หานเซิ่นรู้สึกดีอย่างมาก หลังจากที่อี๋ซาแต่งตั้งให้เขาเป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์ของรีเบท เขาก็ได้รับทรัพยากรจำนวนมาก ดาวอุปราคายังคงอยู่ภายใต้การปกครองของเขา และเขายังได้รับดวงดาวอีก 8 ดวงพร้อมกับสมบัติต่างๆ
แถมมันยังมีทรัพยากรอีกมากที่จะถูกส่งมาให้กับหานเซิ่นในอนาคต แต่เขายังมีพลังโกสต์โบนหลงเหลืออยู่ภายในตัว เขาจึงยังไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรอะไรมากมาย ดังนั้นสำหรับตอนนี้หานเซิ่นมีแผนที่จะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เอาไว้ในโกดังเก็บของ
หานเซิ่นพาสปิริตหลายคนมาที่ดาวอุปราคา และเมื่อพวกเขากลายเป็นระดับมาร์ควิสแล้ว พวกเขาก็เดินทางออกไปสำรวจจักรวาลจีโน หกวิถี จันทราสวรรค์และราชินีชั่วพริบตาเริ่มออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว
หานเซิ่นไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของหกวิถี ส่วนจันทราสวรรค์ออกเดินทางร่วมกับกู่ชิงเฉิง ดังนั้นมันจึงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง หานเซิ่นต้องการให้ราชินีชั่วพริบตาอยู่ข้างกายเขา แต่เธอปฏิเสธ เธออยากจะออกเดินทางตามลำพัง
หานเซิ่นจึงไม่ได้บังคับให้เธออยู่ต่อ ราชินีชั่วพริบตาอยู่กับเขามาพักใหญ่แล้ว ในช่วงแรกที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน หานเซิ่นและเธอเป็นศัตรูกัน แต่ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็เอาชนะใจของเธอได้ ตอนนี้พวกเขาเชื่อใจกันพอที่หานเซิ่นจะพาเธอมาที่จักรวาลจีโนอย่างสบายใจ
ช่วงนี้สถานการณ์ของหานเซิ่นเป็นไปด้วยดี แต่มันคงจะอยู่ไม่นานนัก ชะตากรรมมักจะมีบางสิ่งทำให้หานเซิ่นต้องกังวลอยู่เสมอ เขาได้รับข่าวว่าคณะทูตจากเอ็กซ์ตรีมคิงกำลังจะเดินทางมาเยี่ยมแนร์โรว์มูน
ครั้งนี้ผู้นำของคณะทูตที่มาคือองค์ชายสิบสี่ ไป๋ชางลัง เมื่อได้ยินอย่างนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกกังวลขึ้นมาทันที
ครามทำงานรับใช้องค์ชายสิบสี่ ถึงคณะทูตของเอ็กซ์ตรีมคิงที่มาจะกล่าวอ้างว่าพวกเขามาเพื่อแสงความยินดีต่ออี๋ซาที่วิวัฒนาการเป็นระดับเทพเจ้าได้สำเร็จ แต่การส่งคณะทูตมาเพียงเพื่อแสดงความยินดีนั้นไม่มีความจำเป็นต้องให้องค์ชายสิบสี่มาด้วยตัวเอง
สำหรับเผ่าพันธุ์ที่เล็กกว่าอย่างรีเบทแล้ว ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าเป็นเหมือนกับเทพจริงๆ แต่สำหรับเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างเอ็กซ์ตรีมคิงแล้ว การขึ้นสู่ระดับเทพเจ้าได้เพียงแค่บอกว่าคนๆนั้นมีความสามารถที่ไม่ธรรมด
เมื่อหานเซิ่นได้รู้ว่าไป๋เวยเดินทางมาด้วย เขาก็รู้ว่าที่กุนซือไวท์พูดถูก เขาจะถูกบังคับให้ไปที่เอ็กซ์ตรีมคิงจริงๆ
“ถ้าการคาดเดาของกุนซือไวท์ถูกต้อง การไปที่เอ็กซ์ตรีมคิงจะเป็นอะไรที่อันตรายอย่างมาก ซีโร่และเมิ่งเอ๋อไม่ควรไปที่นั่น เพราะเรายังปกป้องพวกเธอจากคนของเอ็กซ์ตรีมคิงไม่ได้ พวกเธอควรจะอยู่ในแนร์โรว์มูนต่อไป ภายใต้การปกป้องจากอี๋ซา พวกเธอจะถูกปฏิบัติอเป็นอย่างดี และตอนนี้เราก็มีทรัพยากรอยู่มากมาย พวกเธอจะกลายเป็นระดับดยุกได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร และมันก็มีโอกาสที่พวกเธอจะเลื่อนขั้นสู่ระดับราชันได้สำเร็จ”
‘แต่เราต้องพากิเลนโลหิตไปด้วย พลังของมันจะช่วยเราได้มาก แต่เราควรจะพานกแดงน้อยไปด้วยดีไหม?’ หานเซิ่นลังเล
หานเซิ่นครุ่นคิดอย่างหนัก แต่ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่ทางเข้าสวน
ที่นั่นเขาเห็นชายในชุดสีฟ้าเดินนำหญิงสาวในชุดขาวเข้ามาในสวน ผู้หญิงในชุดขาวคือองค์หญิงไป๋เวย หานเซิ่นไม่รู้ว่าชายชุดสีฟ้าคือใคร แต่เมื่อดูจากท่าทางของเขาแล้ว หานเซิ่นเดาว่าชายคนนั้นก็คือองค์ชายสิบสี่ ไป๋ชางลัง
หานเซิ่นไม่ได้ประหลาดใจอะไรที่ทั้ง 2 คนมาหาเขา แต่เขาประหลาดใจที่ไม่มีใครมาเตือนเขาก่อนเลย
โดยปกติแล้วมันควรจะมีคนเข้ามารายงานถึงการมาเยือนของเอ็กซ์ตรีมคิง ถึงแม้พวกเขาจะบุกเข้ามา มันก็ควรจะมีใครบางคนมาแจ้งข่าวให้กับหานเซิ่น
แต่หานเซิ่นไม่ได้รับคำเตือนอะไรเลย ทุกอย่างในฐานทัพยังดำเนินไปอย่างปกติ ขณะที่ไป๋ชางลังพาไป๋เวยเข้ามาในสวนของหานเซิ่น
หานเซิ่นขมวดคิ้วและตรวจดูไป๋ชางลัง เขาดูเหมือนคนอายุราวๆ 30 ปี เขาไม่ได้ดูงดงามอะไร เขาเดินเข้ามาอย่างเป็นกันเองราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรในโลกนี้ เขาดูเป็นคนที่ไม่ได้กังวลเรื่องใดๆ
ถึงแม้เขาจะกำลังเดินเข้ามาในสวนของหานเซิ่น แต่ไป๋ชางลังก็ทำตัวเหมือนกับว่าเขาอยู่ที่บ้านของตัวเอง เขาเดินเข้ามาหาหานเซิ่นและนั่งลงข้างๆ เขาหยิบกาน้ำชาขึ้นและเทชาให้กับตัวเองหนึ่งถ้วย
“ชานี่ก็ดีและคนที่นี่ก็เยี่ยม”