Super God Gene – ตอนที่ 2303

ตอนที่ 2303 ไป๋อู๋ฉาง

 

จากบุตรธิดาของราชวงศ์ทั้งหมด มันถือว่าหาได้ยากที่คนอายุเท่ากับไป๋เวยจะยังไม่ได้เข้าไปในสุสานทหารและกษัตริย์

 

แต่ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะอ่อนแอแต่อย่างใด แต่ถ้าเธอจะเข้าไปในสุสานทหารและกษัตริย์ตามลำพัง เธอก็ต้องเป็นระดับราชันเป็นอย่างน้อยเพื่อผ่านการทดสอบ

 

การทดสอบในสุสานทหารและกษัตริย์สามารถให้ราชองค์รักษ์ช่วยเหลือได้ แต่ราชาไป๋นั้นสร้างการทดสอบบางอย่างที่มุ่งเน้นไปที่พลังส่วนตัวของคนราชวงศ์ แต่การทดสอบส่วนใหญ่จะเน้นไปที่พลังโดยรวมของทีม

 

การจะกลายเป็นกษัตริย์ คนๆนั้นไม่สามารถพึ่งแค่พลังของตัวเองได้ กษัตริย์จำเป็นต้องมีทั้งวิชาการต่อสู้และอำนาจ

พวกพ้องที่แข็งแกร่งที่สุดของไป๋เวยก็คือหัวหน้าคนรับใช้ของเธอ เธอยังพอมีจะคนรับใช้ อัศวินระดับมาร์ควิสและเอิร์ลอยู่บ้าง แต่หานเซิ่นเป็นราชองครักษ์คนเดียวของเธอ

 

ไป๋เวยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากก็เพราะดาววินด์โซนไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอต่อการพัฒนาอัศวินระดับสูง ทำให้ไม่มีใครอยากจะติดตามคนในราชวงศ์ที่ต้อยต่ำอย่างเธอ

 

นอกจากนั้นไป๋เวยก็ไม่ได้ถูกนับถือโดยคนธรรมดาทั่วไปเหมือนกับราชวงศ์คนอื่น เพราะเหตุนั้นคนที่ยินดีจะติดตามเธอจึงไม่ได้โดดเด่นอะไร

 

สุสานทหารและกษัตริย์อนุญาตให้ราชวงศ์คนหนึ่งนำราชองครักษ์ไปกับพวกเขาได้สิบคน แต่ราชองครักษ์ที่ไปต้องเป็นระดับดยุกหรือต่ำกว่าเท่านั้น ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่สามารถพากิเลนโลหิตเข้าไปด้วยได้

 

“นั่นหมายความว่าคนที่เข้าไปได้มีแค่เจ้า ข้าและหัวหน้าคนรับใช้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว

 

ไป๋เวยส่ายหัว “แค่เจ้าและข้าเท่านั้น หัวหน้าคนรับใช้ไม่ใช่ราชองครักษ์ของข้า ดังนั้นเขาไม่มีคุณสมบัติจะเข้าไปในสุสานทหารและกษัตริย์”

 

หานเซิ่นยิ้มแห้งๆออกมา “เจ้าคิดจะใช้ข้าเป็นตัวแทนราชองครักษ์สิบคนอย่างนั้นสินะ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรจะได้ส่วนแบ่งขององครักษ์ทั้งสิบคน?”

 

“ถ้าพวกเราเข้าไปในสุสานทหารและกษัตริย์ได้ ข้าจะแบ่งของกับเจ้าคนละครึ่ง” ไป๋เวยพูด

 

“สุสานทหารและกษัตริย์เก็บอาวุธของเหล่ากษัตริย์เอาไว้ไม่ใช่หรอ มีเพียงแค่คนในราชวงศ์เท่านั้นที่จะเอาของแบบนั้นออกมาได้ แบบนั้นพวกเราจะแบ่งของที่ได้คนละครึ่งยังไง?” หานเซิ่นถาม

 

ไป๋เวยหัวเราะ “แน่นอนว่าเจ้าเอาอาวุธของเหล่ากษัตริย์ไปไม่ได้ แต่สุสานไม่ได้เก็บเพียงแค่อาวุธของคนในราชวงศ์เท่านั้น ไม่อย่างนั้นเหล่าคนในราชวงศ์ก็คงจะเอาพวกมันทั้งหมดไปแล้ว อาวุธมากมายถูกทิ้งเอาไว้ที่นั่นก็เพื่อเป็นเกียรติต่อคนที่เสียชีวิตไป พวกมันเป็นสมบัติที่หายาก และราชองครักษ์แต่ละคนก็ได้รับอนุญาตให้นำพวกมันติดตัวออกมาได้แค่คนละชิ้น แบบนั้นทั้งเจ้าและข้าจะได้รับบางสิ่ง”

 

เมื่อได้ยินว่าเขาจะได้รับบางสิ่งจากการเดินทางในครั้งนี้ หานเซิ่นก็รู้สึกดีขึ้นมาก

 

ไป๋เวยพูดต่อ “แถมสุสานทหารและกษัตริย์เป็นมากกว่าสถานที่สำหรับให้ราชวงศ์แต่ละคนเอาอาวุธออกมา การผ่านการทดสอบของสุสานทหารและกษัตริย์จะทำให้ข้ามีคุณสมบัติในการเข้าไปศึกษาในสวนของกษัตริย์ นั่นคือผลประโยชน์ที่แท้จริงที่ข้าต้องการ ราชองครักษ์เองก็ติดตามข้าเข้าไปที่นั่นได้ ดังนั้นนั่นก็ควรจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าเช่นกัน”

 

ถึงแม้หานเซิ่นจะเพิ่งมาถึงที่นี่ แต่เขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับสวนของกษัตริย์มาก่อน มันมีต้นไม้กษัตริย์ระดับเทพเจ้าต้นหนึ่งอยู่ที่นั่น และมันเป็นของพื้นเมืองของอาณาจักรกษัตริย์ ในตอนกลางวันต้นไม้กษัตริย์จะปล่อยลมปราณกษัตริย์ออกมา การดูดซับลมปราณกษัตริย์เข้าไปจะเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายและยีนให้กับคนๆนั้น มันเป็นอะไรที่มีประโยชน์อย่างมากต่อขุนนางที่ต้องการจะเพิ่มระดับขึ้น

 

แต่ต้นไม้กษัตริย์จะปลดปล่อยลมปราณกษัตริย์ออกมาในจำนวนที่จำกัด ดังนั้นแม้แต่คนในราชวงศ์ก็จำเป็นต้องผ่านการทดสอบก่อนถึงจะเข้าไปในสวนของกษัตริย์ได้

 

การผ่านการทดสอบของสุสานทหารและกษัตริย์เป็นเพียงแค่เงื่อนไขอย่างหนึ่งในการจะเข้าไปในสวนของกษัตริย์เท่านั้น มันยังมีเงื่อนไขอย่างอื่นอีก แต่ไป๋เวยผ่านพวกมันเรียบร้อยแล้ว มันเหลือเพียงแค่การทดสอบของสุสานทหารและกษัตริย์เท่านั้นที่เธอยังไม่ผ่าน

 

หานเซิ่นไม่รู้ว่าการทดสอบภายในสุสานจะเป็นแบบไหน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถให้สัญญากับไป๋เวยได้

 

แต่ทว่าทั้งไป๋เวยและหานเซิ่นเป็นระดับดยุกทั้งคู่ เธอมั่นใจว่าพวกเขาจะผ่านการทดสอบไปได้

 

หานเซิ่นทิ้งเป่าเอ๋อ กิเลนโลหิตและนกแดงน้อยเอาไว้เบื้องหลัง และออกเดินทางไปที่สุสานกับไป๋เวยแค่ 2 คน

 

สุสานทหารและกษัตริย์เป็นดาวดวงหนึ่ง หานเซิ่นและไป๋เวยไปถึงสถานีอวกาศในวงโคจรของดวงดาว เมื่อไปถึงไป๋เวยก็ไปกรอกเอกสารที่จำเป็น ขณะที่หานเซิ่นรออยู่ในห้องล็อบบี้

 

“องค์หญิงผู้น่าสงสาร เจ้าต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง”
หานเซิ่นถอนหายใจ เขาปิดตาลงและพยายามจะพักผ่อนสักหน่อย แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามา

 

มันมีคนหลายคนเดินไปมาในห้องล็อบบี้ แต่ตัวตนของคนคนนั้นดึงดูดความสนใจของหานเซิ่น

 

อีกฝ่ายคือชายหนุ่มชาวเอ็กซ์ตรีมคิงที่มีอายุราว 20 ปี ดวงตาของเขาดูแน่วแน่มากๆ ร่างกายของเขาเป็นเหมือนกับมีดที่สามารถดึงออกมาจากฝักได้

 

ชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาที่หานเซิ่น ชายคนนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าหานเซิ่นและจ้องตรงมาที่เขา “เจ้าคือหานเซิ่นใช่ไหม?”

 

“ใช่ เจ้าล่ะชื่ออะไร?” หานเซิ่นถามอย่างระมัดระวัง เขาเพิ่งจะมาถึงที่เอ็กซ์ตรีมคิง แต่มันก็มีใครบางคนมองหาตัวของเขาแล้ว

 

“ไป๋อู๋ฉาง” ชายหนุ่มตอบอย่างจริงจัง

 

เมื่อได้ยินชื่อนั้น หานเซิ่นก็ประหลาดใจ เขาคิดกับตัวเอง ‘นี่เป็นชื่อของระเบิด อัจฉริยะคนไหนกันที่ตัดสินใจมอบชื่อแบบนี้ให้กับลูกชายของเขา นี่พวกเขาไม่กลัวว่าลูกชายของตัวเองจะตายหรือยังไง?’

 

ไป๋อู๋ฉางเมินเฉยต่อความลังเลของหานเซิ่น “เจ้าคือหานเซิ่นที่ได้รับสมญานามปรมาจารย์แห่งมีดและดาบร่วมกับไผ่เดียวดายใช่ไหม?”

 

“ข้าคือหานเซิ่นคนนั้น แต่สมญานามนั่นเป็นเพียงแค่ชื่อที่ผู้คนใช้เพื่อหยอกล้อข้าเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องไปคิดจริงจังกับมัน” หานเซิ่นพูด

 

ไป๋อู๋ฉางพยักหน้า “ยังไงก็ช่างตราบใดที่เจ้าคือหานเซิ่นคนนั้น ข้าอยากจะประมือกับไผ่เดียวดาย แต่ข้าไม่เคยมีโอกาส ไหนๆเจ้าก็อยู่ที่นี่ ข้าจะขอประมือกับเจ้าก่อน”

 

ไป๋อู๋ฉางนำการ์ดออกมาจากกระเป๋าและมอบมันให้กับหานเซิ่น
“เอาการ์ดนี้ไป ข้ารอเจ้าในคืนพรุ่งนี้”

 

หลังจากนั้นไป๋อู๋ฉางก็เดินจากไปทันที เขาไม่ได้รอคำตอบจากหานเซิ่นแต่อย่างใด

 

“นี่มันอะไรกัน? เขาไม่แม้แต่จะให้ข้าได้พูดตอบ!” หานเซิ่นอยากจะเรียกไป๋อู๋ฉาง แต่ขณะที่เขาเดินตามไป เขาก็รู้สึกตัวว่าชายคนนั้นได้หายไปแล้ว เขาเดินออกจากล็อบบี้และออกจากสถานีอวกาศไป

 

“หมอนั่นเป็นใครกัน?” หานเซิ่นก้มมองดูการ์ดในมือ มันเป็นการ์ดสีดำที่มีตัวอักษรสีขาวที่อ่านง่ายๆว่า “ไป๋อู๋ฉาง” มันไม่มีอะไรอย่างอื่น มันไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับตำแหน่งของไป๋อู๋ฉางภายในเอ็กซ์ตรีมคิง

 

ขณะหานเซิ่นมองดูการ์ดในมือ ไป๋เวยก็เดินเข้ามา ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อได้เห็นการ์ดใบนั้น
“เจ้าไปได้มันมาจากไหน?”

 

“จากคนที่ชื่อไป๋อู๋ฉาง จู่ๆเขาก็เดินเข้ามามอบการ์ดใบนี้ให้กับข้าและเดินจากไป” หานเซิ่นพูดขณะถือการ์ดอยู่ในมือ

 

ไป๋เวยดูมัวหมอง เธอรีบถาม “เขาท้าเจ้าสู้อย่างนั้นหรอ?”

 

“ข้าคิดว่าอย่างนั้น” หานเซิ่นพูดพร้อมกับพยักหน้า

 

“นี่มันแย่แล้ว เขารู้ได้ยังไงว่าเจ้าอยู่ที่นี่? นอกจากนั้นเขายังเสียมารยาทมาท้าเจ้าสู้อีก? เขาต้องมาที่นี่เพราะแผนการของใครบางคนแน่ๆ” ไป๋เวยพูด

 

“ไป๋อู๋ฉางคนนี้เป็นใคร? เขามีชื่อเสียงอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม

 

ไป๋เวยถอนหายใจ “เขาเป็นพี่ชายของข้า เขาคือบุตรชายของอัครมเหสี แต่เขาไม่ได้เหมือนกับองค์ชายคนอื่น เขาไม่ได้มีอำนาจมากมายอะไร เขาแค่อยากจะเพิ่มระดับของตัวเอง แม้แต่ท่านพ่อก็ยังบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในองค์ชายที่มีพรสวรรค์มากที่สุด มันยากที่จะคาดการณ์ได้ว่าเขาจะเติบใหญ่ไปเป็นยังไง”

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset