เนื่องจากราชาไป๋ยังมีชีวิตอยู่ รูปปั้นของเขาจึงถูกปิดผนึกเอาไว้ ผู้ที่แสวงหาสมบัติต้องรอจนกระทั่งราชาไป๋สวรรคตซะก่อน รูปปั้นของเขาถึงจะถูกเปิดเผยภายในพาวิลเลี่ยน
กษัตริย์องค์ก่อนหน้าราชาไป๋ถูกเรียกว่าราชาเป่า มันไม่มีคำจารึกเกี่ยวกับเขามากนัก มันบอกแค่ว่าเขาเอาชนะเผ่าพันธุ์หนึ่งและขยายดินแดนของเอ็กซ์ตรีมคิง แต่ชื่อของเผ่าพันธุ์ที่เขาเอาชนะได้นั้นไม่ได้ถูกระบุเอาไว้
ในยุดสมัยที่ราชาเป่าครองบัลลังก์การขยายดินแดนของเอ็กซ์ตรีมคิงถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่มีดินแดนให้พวกเขาเข้ายึดครองมากนัก นอกซะจากพวกเขาจะเอาชนะเวรี่ไฮหรือแอนเชี่ยนท์ก็อตได้ มันไม่มีอะไรอย่างอื่นที่ราชาเป่าจะทำได้
ความจริงแล้วคำจารึกของกษัตริย์ 20 องค์ก่อนหน้าราชาเป่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเบื้อ พวกเขาแค่รักษาอำนาจของเอ็กซ์ตรีมคิงและพัฒนาเผ่าพันธุ์อย่างเชื่องช้า แต่สมบัติของรูปปั้นเหล่านั้นก็ถูกเอาไปหมดแล้ว
ถึงแม้รูปปั้นของราชาเป่าจะถูกแสดงหลังสุดและมีผู้คนไม่มากที่มีโอกาสจะได้ทำความเข้าใจมัน แต่ถึงอย่างนั้นราชาไป๋ก็มีบุตรธิดาที่เป็นอัจฉริยะอย่างไป๋อู๋ฉางและไป๋หลิงซวง พวกเขาต่างก็เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์หลากหลาย ไป๋เวยเองก็มีพรสวรรค์เช่นกันแต่เธอขาดชื่อเสียง มันมีคนของราชวงศ์มากมายที่เป็นอัจฉริยะในทางใดทางหนึ่ง แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถเอาสมบัติของรูปปั้นราชาเป่าไปได้ มันก็ต้องเป็นอะไรที่พิเศษ
หานเซิ่นมองไปที่รูปปั้นทั้ง 3 เขาไม่สามารถใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อวิเคราะห์พวกมันอย่างละเอียดได้ เขาจำเป็นต้องใช้ประสาทสัมผัสของตัวเอง แถมไม่ว่าองค์ชายคนหนึ่งจะได้รับบัตรผ่านเข้าสู่พาวิลเลี่ยนมากสักเท่าไหร่ พวกเขาก็กลับมาอีกครั้งไม่ได้เมื่อพวกเขาได้รับสมบัติของรูปปั้นรูปหนึ่งไปแล้ว
ไป๋อู๋ฉางเคยพยายามมาเอาสมบัติของรูปปั้นอัลฟ่ามาก่อน และเขาก็ไม่ใช่องค์ชายแค่คนเดียวที่พยายามทำแบบนั้น
หานเซิ่นหันไปหารูปปั้นอัลฟ่า “ข้าจะลองรูปปั้นนี้ดู”
แต่ละรูปปั้นมีชั้นบรรยากาศที่แตกต่างกัน แต่หานเซิ่นรู้สึกสนใจน้ำเต้าที่รูปปั้นอัลฟ่าถืออยู่ เขาไม่สามารถบอกได้ว่านั่นถือเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเป่าเอ๋อที่ทำให้หานเซิ่นใส่ใจกับสิ่งที่คล้ายคลึงกับน้ำเต้า
ราชาเป่ามีเป่าอยู่ในชื่อ แต่เขาไม่ได้มีอาวุธหรือสิ่งของที่น่าสนใจอะไรอยู่ในมือ เขาดูขัดสนและนั่นไม่ใช่สิ่งที่หานเซิ่นต้องการ
สไตล์ของราชาเหวินก็ไม่ถูกใจหานเซิ่นเช่นกัน มีแค่รูปปั้นของอัลฟ่าที่ทำให้หานเซิ่นรู้สึกสนใจ
หานเซิ่นนั่งลงหน้ารูปปั้นอัลฟ่าและมองไปที่ดวงตาของชายคนนั้น
ในตอนที่หานเซิ่นมองรูปปั้นขณะที่ยืนอยู่ รูปปั้นดูถูกแกะสลักขึ้นมาอย่างละเอียดอ่อนและสวยงาม แต่ทว่าเมื่อเขานั่งลงกับพื้น มันดูเหมือนกับว่ารูปปั้นมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ มันเหมือนกับว่ากษัตริย์องค์นั้นมายืนอยู่ตรงหน้าและมองมาที่เขาด้วยสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นรอยยิ้ม ความรู้สึกที่ได้รับนั้นต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
หานเซิ่นรู้สึกตกใจ เขาขยับตัวออกไปเล็กน้อยและมองไปที่รูปปั้นอีกครั้ง รูปปั้นกลับเป็นปกติและไม่ได้ดูมีชีวิตอีกต่อไป
หานเซิ่นเปลี่ยนตำแหน่งอยู่หลายครั้ง แต่ผลที่ออกมาก็เหมือนเดิม เขาเห็นรูปปั้นมีชีวิตขึ้นมาก็ต่อเมื่อเขานั่งลงตรงหน้าของมัน
หานเซิ่นวิ่งไปหารูปปั้นของราชาเหวินและราชาเป่า เขาพบว่าพวกมันเองก็เหมือนกัน เพียงแค่นั่งลงตรงหน้ารูปปั้นก็ทำให้เขารู้สึกถึงรูปปั้นนั้นๆได้
“รูปปั้นพวกนี้มหัศจรรย์จริงๆ พวกเขาทำแบบนี้ได้ยังไงกัน?”
หานเซิ่นถอนหายใจ เขากลับไปนั่งตรงหน้ารูปปั้นอัลฟ่าและเริ่มวิเคราะห์รูปปั้น
เมื่อหานเซิ่นมองไปที่อัลฟ่า ความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งก็เข้าครอบงำเขา รูปปั้นของราชาเหวินนั้นจะมอบความรู้สึกราวว่าเขากำลังนั่งลงตรงหน้าเทพ ขณะที่รูปปั้นของราชาเป่าให้ความรู้สึกราวว่าเขากำลังนั่งตรงหน้าปีศาจ ทั้ง 2 รูปปั้นให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งราวกับว่าพวกเขาสามารถเขย่าทั้งจักรวาลได้ และสิ่งที่พวกเขารู้นั้นน่าพิศวงอย่างมาก มันเหมือนกับว่าภายใต้แขนเสื้อของพวกเขาเต็มไปด้วยความรอบรู้
แต่รูปปั้นของอัลฟ่านั้นต่างออกไป เขาถือน้ำเต้าอยู่ในมือและมันดูเหมือนกับว่าเขากำลังยิ้มออกมา เขาดูเหมือนกับผู้สูงอายุข้างบ้านที่จะออกมานั่งสูบบุหรี่อยู่นอกประตู เขาดูไม่เหมือนกับกษัตริย์ที่ทรงอำนาจเลยสักนิด หานเซิ่นไม่รู้ว่าจิตใจของเขากำลังเล่นตลกอะไรอยู่หรือเปล่า แต่หานเซิ่นคิดว่าดวงตาของชายสูงอายุนั้นดูค่อนข้างบ้ากาม
‘อัลฟ่าคนนี้น่าสนใจมากๆ’ หานเซิ่นคิดอย่างอยากรู้อยากเห็น เขาสังเกตร่างกายของรูปปั้นอย่างละเอียด
แต่ไม่ว่าจะมองตรงไหน หานเซิ่นก็ไม่เจออะไรที่มีความหมายจากรูปปั้น รูปปั้นมีจิตวิญญาณอยู่ แต่มันไม่ได้ให้สัมผัสพิเศษอะไร มันดูธรรมดามากๆ
รูปปั้นของราชาเหวินและราชาเป่าจะให้ความรู้สึกที่น่ากลัว ความรู้สึกของรูปปั้นอัลฟ่านั้นถือว่าอ่อนแอกว่ามากเมื่อเทียบกันแล้ว มันเป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจ
หานเซิ่นนั่งอยู่ตรงหน้ารูปปั้นทั้งวัน แต่เขาก็ไม่สามารถเรียนรู้อะไรจากมันได้แม้แต่อย่างเดียว เขาไม่รู้ว่าควรจะยอมแพ้กับรูปปั้นของอัลฟ่าดีไหม เมื่อรูปปั้นของราชาเหวินและราชาเป่าให้ความรู้สึกที่ทรงพลังมากกว่า
แต่หานเซิ่นสนใจเกี่ยวกับน้ำเต้าอย่างมาก เขาลังเลและหยุดมองไปที่อัลฟ่า ความสนใจของเขาถูกดึงไปที่น้ำเต้าแทน
หานเซิ่นมองมันอยู่สักพัก และไม่นานเขาก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาด
ก่อนหน้านี้เมื่อหานเซิ่นมองรูปปั้น เขาจะจับจ้องไปที่ตัวของกษัตริย์ น้ำเต้าเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบ ดังนั้นมันไม่มีอะไรพิเศษที่เขาจะเรียนรู้จากการมองดูมัน
แต่เมื่อเขาเปลี่ยนให้น้ำเต้าเป็นศูนย์กลาง ขณะที่ตัวของกษัตริย์เป็นส่วนประกอบ ทุกอย่างก็ดูต่างไปจากเดิม
องค์ชายและองค์หญิงของเอ็กซ์ตรีมคิงนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ พวกเขาแบกรับความภาคภูมิเอาไว้ในทุกส่วนของชีวิต พวกเขาเคารพบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นอย่างมาก มันไม่มีใครจะคำนึงถึงว่าตัวของอัลฟ่าเป็นแค่ส่วนประกอบน้ำเต้า
หานเซิ่นเป็นคนนอกคนหนึ่ง เขาไม่ใช่คนของเอ็กซ์ตรีมคิง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีความเคารพต่อเหล่ากษัตริย์ของเอ็กซ์ตรีมคิงเหมือนกับคนของราชวงศ์ หานเซิ่นมองไปที่น้ำเต้าอย่างจริงจัง เขามองไปที่มันราวกับว่ามันเป็นอะไรที่มากกว่าเครื่องประดับเล็กๆน้อยๆ และการทำแบบนั้นก็ทำให้ทั้งรูปปั้นดูมีความหมายที่เปลี่ยนไปจากเดิม มันเหมือนกับว่าเขากำลังก้าวผ่านประตูไปสู่โลกใบใหม่
ขณะที่หานเซิ่นจับจ้องไปที่น้ำเต้าแทนที่จะเป็นอัลฟ่า ความตระหนักก็ค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ยิ่งเขามองไปที่น้ำเต้ามากเท่าไหร่ เขาก็คิดว่ามันดูคุ้นเคยมากเท่านั้น มันดูเหมือนกับเป่าเอ๋อก่อนที่เธอจะเกิดขึ้นมา
‘ไม่มีทาง! เอ็กซ์ตรีมคิงอัลฟ่ากำลังถือน้ำเต้า และน้ำเต้านั้นคือรูปปั้นของเป่าเอ๋อก่อนที่เธอจะเกิดขึ้นมา?’ หานเซิ่นคิดด้วยความตกใจ
หานเซิ่นตัดสินใจอย่างหนักแน่นว่าน้ำเต้าคือเป่าเอ๋อจริงๆ ความหมายของน้ำเต้าชัดเจนขึ้นมา ชั้นบรรยากาศที่ลึกลับเริ่มแพร่กระจายออก และดูเหมือนกับว่ามันกำลังจะห่อหานเซิ่นเข้าไปข้างใน
“รูปปั้นน้ำเต้านี้ มันไม่มีทางเป็นเป่าเอ๋อไปได้หรอกใช่ไหม”
หานเซิ่นยังคงจ้องไปที่รูปปั้น สีหน้าของเขาหมุนวนอย่างรวดเร็วด้วยอารมณ์ความรู้สึก