หานเซิ่นไม่เชื่อสิ่งที่คุณหญิงมิร์เรอร์บอก เขาได้ตรวจสอบแหวนหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเห็นอะไรที่คล้ายคลึงกับวิญญาณอยู่ภายใน
เมื่อหานเซิ่นได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขาก็ยกมือขึ้นมาและหันอัญมณีสีเขียวที่รูปร่างเหมือนดวงตามาทางหน้าของตัวเอง เขาสังเกตไปที่ภาพสะท้อนบนผิวของอัญมณีและพูดขึ้นมา
“ข้าเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง แต่ไม่ว่าอัญมณีไหนก็จะแสดงภาพสะท้อนแบบนั้น”
คุณหญิงมิร์เรอร์หัวเราะ เธอยกมือข้างซ้ายของเธอขึ้น
มือของคุณหญิงมิร์เรอร์นั้นขาวเนียน และนิ้วมือของเธอก็เรียวยาว มันมีแหวนวงหนึ่งสวมอยู่ที่นิ้วนางของเธอ
เมื่อเห็นแหวนวงนั้น หัวใจของหานเซิ่นก็เต้นรัว แหวนวงนั้นดูเหมือนกับแหวนของเขาไม่มีผิด เพียงแต่มันมีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น
คุณหญิงมิร์เรอร์สัมผัสอัญมณีสีเขียนบนแหวนและหินที่เหมือนกับดวงตาก็เริ่มเรืองแสงขึ้นมา
แหวนบนนิ้วของหานเซิ่นสั่นไหวเล็กน้อยและมันก็ส่องแสงออกมาเช่นเดียวกัน
ในจังหวะนั้นหานเซิ่นรู้สึกว่าอัญมณีบนแหวนมีชีวิตขึ้นมา มันเป็นเหมือนกับดวงตาจริงๆที่กำลังมองมาที่เขา
ในดวงตานั้นหานเซิ่นเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง แต่อัญมณีไม่ได้สะท้อนภาพของเขาในตอนนี้ มันแสดงภาพของเขาในตอนที่ยังเป็นเด็กทารกที่เปื่อยเปล่า
หานเซิ่นรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เขาไม่ได้คาดคิดว่าแหวนนั้นจะมีพลังอะไรแบบนี้ด้วย และตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้วที่เขาจะถอดมันออก
“พระขนิษฐา นี่พระขนิษฐาใช้วิชาจีโนแบบไหนกัน? มันน่าสนใจมากๆ แต่พระขนิษฐาหยุดล้อเล่นกับข้าได้แล้ว” หานเซิ่นพูด เขายังคงท่าทางสงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน
คุณหญิงมิร์เรอร์ลดมือซ้ายลงและแสงของแหวนก็ดับไป เธอดูเหมือนกับว่ากำลังยิ้ม แต่มันไม่ใช่
“เจ้ามีลิ้นทอง แต่ตอนนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเจ้า ถ้าข้าพาเจ้าไปให้กับราชาไป๋ เจ้าคิดว่าเขาจะใช้เวลานานเท่าไหร่เพื่อฆ่าเจ้า?”
หานเซิ่นยิ้มแห้งๆออกมา เขาอยากจะพูดกล่อมให้คุณหญิงมิร์เรอร์เชื่อว่าเขาคือไป๋อี้จริงๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน และตัวตนของเขาก็ถูกเปิดโปงเรียบร้อยแล้ว เขาไม่มีเวลาจะคิดแผนการหนีอะไรได้
“ถ้าคุณมีบางสิ่งที่อยากจะพูด ก็เชิญคุณพูดมาได้เลย” หานเซิ่นถอนหายใจ
“ข้าไม่มีอะไรจะบอกเจ้า เจ้าจะได้รับโทษประหาร ข้าจะพาเจ้าไปที่พระราชวังและให้ราชาไป๋เป็นคนตัดสินใจ” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“ถ้าท่านคิดจะทำแบบนั้นจริงๆ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ท่านต้องมาเปิดโปงตัวจริงของข้าในตอนนี้” หานเซิ่นพูดขณะที่เขามองไปที่คุณหญิงมิร์เรอร์
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่ตอบ เธอแค่มองหานเซิ่นด้วยความสนใจขณะที่ขับรถต่อไปข้างหน้า
หลังจากนั้นไม่นานหานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่าพวกเขาไม่ได้กำลังมุ่งหน้าไปที่พระราชวัง พวกเขาไปที่สถานีอวกาศที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรของกษัตริย์
“พวกเรากำลังจะไปที่ไหน?” หานเซิ่นถามขณะที่ตามคุณหญิงมิร์เรอร์ออกจากรถและขึ้นไปบนยานรบ ไม่นานยานรบก็มุ่งหน้าออกไปจากอาณาจักรของกษัตริย์ หานเซิ่นแปลกใจกับเรื่องนั้น
แทนที่จะตอบคำถามของเขา คุณหญิงมิร์เรอร์ให้คนของเธอพาเขาไปที่ห้องๆหนึ่ง
หานเซิ่นไม่รู้ว่าคุณหญิงมิร์เรอร์ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ เธอเป็นคนที่ราชาไป๋เชื่อใจมากที่สุด ถ้าเธอพบว่าหานเซิ่นไม่ใช่ไป๋อี้ เธอก็ควรจะลากตัวเขาไปต่อหน้าราชาไป๋
แต่เธอกลับพาเขาเดินทางออกจากอาณาจักรกษัตริย์แทน เธอไม่ได้ขังเขาเช่นกัน เธอแค่ให้คนพาเขากับกิเลนโลหิตไปที่ห้องธรรมดาๆห้องหนึ่ง แม้แต่กิเลนโลหิตก็ไม่ถูกจับตัวเอาไว้
“คุณหญิงมิร์เรอร์คนนี้ต้องการอะไรกันแน่?” หานเซิ่นสงสัย แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามสักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถคาดเดาความคิดของผู้หญิงคนนี้ได้
หานเซิ่นสัมผัสแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายบนนิ้วมือ เขาอยากจะถอดมันออก แต่หลังที่แหวนถูกกระตุ้นโดยคุณหญิงมิร์เรอร์ มันก็เหมือนกับว่าตัวแหวนนั้นละลายเป็นส่วนหนึ่งกับนิ้วมือของเขา ตอนนี้เขาไม่สามารถถอดมันได้
“นี่มันคือแหวนบ้าอะไรกัน?” หานเซิ่นสงสัยและข้องใจกับความจริงที่เขาไม่สามารถถอดแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายออกได้
‘ดูเหมือนเราจะไม่มีพรสวรรค์ในการเป็นสายลับ เราถูกเปิดโปงอย่างง่ายดาย’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
‘แต่ถ้าคุณหญิงมิร์เรอร์ไม่ได้พาเราไปหาราชาไป๋ และเราก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของอาณาจักรของกษัตริย์อีก มันก็มีโอกาสที่เราจะหนีเอาตัวรอดได้ แต่เป่าเอ๋อยังอยู่ในปราสาทของหลันไห่ซิน เราจะเอาเธอออกมาจากที่นั่นได้ยังไง?’
หลังจากที่พวกเขาออกมาจากอาณาจักรของกษัตริย์ ยานอวกาศก็ทำการวาร์ปติดต่อกันหลายครั้ง หานเซิ่นไม่รู้ว่าคุณหญิงมิร์เรอร์จะพาเขาไปที่ไหนกันแน่
ในตอนที่ยานรบไปถึงปลายทางนั้น หานเซิ่นรู้สึกตัวว่าตอนนี้เขาอยู่ในระบบจักรวาลที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงดาวในระบบจักรวาลแห่งนี้หนาวเย็นมากๆและมันก็ยังอยู่ในระดับการพัฒนาขั้นดึกดําบรรพ์ มันไม่มีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสูงอาศัยอยู่เลย และมันก็ไม่มีซีโน่เจเนอิคเช่นกัน มันมีเพียงแค่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเท่านั้น
แต่บนดวงดาวที่ดึกดําบรรพ์นั้นกลับห้อมล้อมไปด้วยยานรบและยานอวกาศจำนวนมากจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ หานเซิ่นตามคุณหญิงมิร์เรอร์ลงไปบนผิวของดวงดาว และเขาก็ได้เห็นหลายเผ่าพันธุ์ที่คุ้นเคย มันมีทั้งเผ่าดราก้อน เดม่อน บุดด้า เดสทรอยเยอร์และยังเผ่าพันธุ์อื่นๆอีกมากมาย
แต่หานเซิ่นสังเกตถึงบางสิ่งที่ค่อนข้างแปลก ทุกคนที่ถูกส่งลงมาบนผิวดวงดาวนั้นมีพลังธาตุน้ำเหมือนๆกันหมด ไม่ว่าจะมาจากเผ่าพันธุ์ไหนๆก็ตาม
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้มาจากเผ่าพันธุ์ที่เป็นธาตุน้ำ แต่พวกเขาทุกคนก็เชี่ยวชาญเทคนิคธาตุน้ำเป็นอย่างน้อย พวกเขาทั้งหมดเป็นระดับราชันเช่นกัน มันยากที่จะหาดยุกสักคนในหมู่พวกเขา
“ที่นี่คือที่ไหนกัน?” หานเซิ่นอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
“ที่นี่เป็นระบบจักรวาลไร้ชื่อที่ไม่มีชื่อเสียงอะไร” นางตอบ
“พวกเรามาทำอะไรที่นี่?” หานเซิ่นถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“พวกเรามาเพื่อเข้าร่วมงานศพ” คุณหญิงมิร์เรอร์ตอบอย่างเรียบง่าย
“งานศพ? งานศพของใคร?” หานเซิ่นสับสน แทนที่จะส่งตัวเขาไปให้ราชาไป๋ คุณหญิงมิร์เรอร์กลับพาเขามาถึงที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานศพ นี่เป็นอะไรที่แปลกมากๆ
“เกือบจะถึงเวลาแล้ว พวกเราไปหาที่นั่งกันเถอะ” คุณหญิงมิร์เรอร์มองไปรอบๆและเริ่มเดินขึ้นไปที่ยอดเขา
ถ้าคุณหญิงมิร์เรอร์ไม่ตอบ หานเซิ่นก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากตามหลังเธอไป
หานเซิ่นไม่คิดจะหนีไปเช่นกัน เป่าเอ๋อยังคงอยู่ในเอ็กซ์ตรีมคิง ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว
หานเซิ่นและคุณหญิงมิร์เรอร์ขึ้นถึงยอดเขา องครักษ์คนหนึ่งนำเก้าอี้มาวางให้กับเธอพร้อมกับกางร่มเพื่อป้องกันแสงแดด มันเหมือนกับว่าเธอมาพักร้อนยังไงยังงั้น
หานเซิ่นไม่ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน เขาแค่ยืนอยู่ข้างๆกิเลนโลหิตและพยายามมองหาสิ่งที่อาจจะเป็นจุดประสงค์ที่ทำให้คุณหญิงมิร์เรอร์มาที่นี่ แต่ด้านหน้าพวกเขามีแค่ทะเลที่กว้างใหญ่ มันเงียบสงบมากๆ และมันก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอะไรให้เห็น