แสงสีเขียวแว็บขึ้นมาและหัวของเฮลล์คิงก็ถูกตัดขาด
ผู้หญิงประหลาดนั้นอึ้งไป เธอจ้องไปยังชายผอมแห้งที่ถือดาบสีเขียวอยู่ในมือ สิ่งมีชีวิตอื่นรอบๆตัวพวกเขาได้ตายไปหมดแล้ว
ผู้หญิงหลี่ตาและพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนที่เธอออกมาจากก้อนหินดำ เธอจำได้ว่าชายรูปร่างผอมคนนี้อยู่ในโรงงานหินในตอนที่เธอปรากฏตัวออกมา ดังนั้นเขาควรจะเป็นคนแรกๆที่ถูกเธอฆ่า
แต่ตอนนี้เมื่อเธอคิดเกี่ยวกับมัน เธอก็จำไม่ได้ว่าเธอฆ่าเขา เขาดูธรรมดาเกินกว่าที่จะดึงดูดความสนใจของเธอ ด้วยเหตุนั้นเธอจึงแค่โยนแสงสีแดงไปทางเขาก่อนที่จะหันความสนใจไปที่คนอื่นๆ
“เขายังไม่ตาย?” ผู้หญิงประหลาดมองไปทางชายหนุ่มที่กำลังยิ้มออกมา เขาถือดาบเขียวอยู่ในมือ ด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเขา เธอก็ต้องการยิ้มกลับไปให้เขา มันเหมือนกับว่ารอยยิ้มของเขาเป็นโรคติดต่อ
ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่หนิงเยวี่ยและพูด “เจ้าไม่เลวเลย ถ้าเจ้าเป็นพันธมิตรกับข้า เจ้าจะใช้พลังระดับเทพเจ้าของข้าได้ หลังจากนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นระดับเทพเจ้าเช่นเดียวกัน เจ้าจะกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล”
หนิงเยวี่ยยิ้มออกมาและไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาค่อยๆเดินเข้าไปหาเธออย่างช้าๆ
“เจ้าไม่เชื่อข้าอย่างนั้นหรอ?” ผู้หญิงคนนั้นจ้องไปที่ใบหน้าของหนิงเยวี่ย เธอรู้ว่าควรจะหวาดระแวง แต่เธอไม่สามารถทนต่อรอยยิ้มที่เป็นเหมือนกับโรคติดต่อนั้นได้ เธอรู้สึกว่าต้องปฏิบัติกับเขาในฐานะมิตรสหายแทนที่จะเป็นศัตรู
“ข้าเชื่อเจ้า” หนิงเยวี่ยพูดอย่างจริงจัง
ผู้หญิงคนนั้นดูโล่งใจขึ้นมา ด้วยเหตุผลบางอย่างสิ่งที่หนิงเยวี่ยพูดนั้นให้ความรู้สึกน่าเชื่อถืออย่างที่สุด คำพูดของเขาดูหนักแน่นราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดคือสัจธรรมของจักรวาล
ผู้หญิงคนนั้นถอนหายใจออกมา และในตอนที่เธอจะตอบกลับไป หนิงเยวี่ยก็ใช้ดาบเขียวเล่มน้อยตัดหัวของเธอจนขาด
หัวของผู้หญิงคนนั้นกลิ้นไปกับพื้นด้วยดวงตาสีแดงที่ยังคงจ้องไปที่หนิงเยวี่ยราวกับว่าเธอไม่สามารถเชื่อสิ่งที่เขาเพิ่งจะทำ
หนิงเยวี่ยถอนหายใจและพูด “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะมอบพลังให้กับข้าได้ แต่ข้าเอาชนะคนๆนั้นด้วยพลังเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ข้าจำเป็นต้องก้าวขึ้นไปทีละขั้นด้วยตัวเอง ก่อนที่ข้าจะไปยืนต่อหน้าของเขาได้”
หนิงเยวี่ยเช็ดเลือดออกจากดาบเขียวเล่มน้อย ในจิตใจของหนิงเยวี่ยยังคงยืนอยู่ในเงาของคนๆนั้น ความแน่วแน่เปล่งประกายในดวงตาของหนิงเยวี่ย หลังจากนั้นพวกมันก็สงบลงไปอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปหาร่างของผู้หญิงประหลาดและเฮลล์คิง
…
หานเซิ่นครอบครองมังกรรากแก้วของเขาเอาไว้เพื่อดูดซับลมปราณกษัตริย์ เขาอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ
กิเลนโลหิตเองก็ดูดซับลมปราณกษัตริย์เข้าไปเป็นจำนวนมาก และตลอดหนึ่งเดือนมันก็กลับมาหายดี ในช่วงเวลาเดียวกันหานเซิ่นก็ได้รับยีนระดับดยุกถึง 500 พ้อย
แต่เรื่องราวของยีนสามารถปลดล็อคยีนได้แค่ 3 ขั้นเท่านั้น ส่วนยีนระดับดยุกที่เหลือ หานเซิ่นใช้พวกมันเพื่อปลดล็อคยีนของวิชากายหยกและโลหิตชีพจร
วิชากายหยกดูเหมือนจะมีขีดจำกัดการปลดล็อคยีนอยู่ 3 ขั้นเหมือนกัน
“การปลดล็อคยีนขั้นแรกจะทำให้เราได้รับร่างแอสทรอล การปลดล็อคยีนขั้นที่ 2 จะมอบร่างเซเลสเทียลให้กับเรา การปลดล็อคยีนขั้นที่ 3 จะมอบบางสิ่งที่เหนือกว่าร่างเซเลสเทียล ร่างของยีนขั้นที่ 3 นี้ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจากร่างเซเลสเทียล แต่เรายังบอกไม่ได้ว่ามันต่างกันตรงไหนกันแน่”
หานเซิ่นประหลาดใจกับผลลัพธ์จากการปลดล็อคยีนขั้นที่ 3 ของเขา ถึงแม้เขาจะยังไม่เข้าใจมันอย่างเต็มที่ก็ตาม
ขณะที่หานเซิ่นฝึกฝนอยู่ในสวนของกษัตริย์นั้น เขาก็ยังได้รับรางวัลอีกอย่างหนึ่ง เขาพัฒนาศาสตร์ตงเสวียนไปสู่ระดับดยุกได้สำเร็จ แต่เนื่องจากเขาไม่มียีนระดับดยุกเหลืออีกแล้ว เขาจึงยังไม่ได้ปลดล็อคยีนมัน
ในตอนที่เรื่องราวของยีนปลดล็อคยีนขั้นที่ 3 ได้แล้ว ปรากฏว่าการจะดูดซับพลังของคิงอีซกลายเป็นเรื่องยาก มันเหมือนกับว่าคิงอีซรวมเข้ากับเซลล์ของหานเซิ่นอย่างสมบูรณ์ และพวกมันไม่สามารถถูกแยกออกจากกันได้อีกต่อไป
หานเซิ่นอยากจะอยู่ในสวนกษัตริย์ต่อเพื่อดูดซับลมปราณกษัตริย์เพิ่มอีก เขาต้องการจะปลดล็อคยีนของวิชาโลหิตชีพจรและศาสตร์ตงเสวียนให้ถึงขั้นที่ 3 เช่นกัน แต่ทว่าไป๋หลิงซวงปรากฏตัวขึ้นมาซะก่อน
“น้องสิบหก ข้าจะกลับไปที่เมืองไนท์ชาร์ม” ไป๋หลิงซวงพูดด้วยเสียงที่เป็นมิตร
“ข้าก็อยากจะไปที่นั่น แต่ข้าไม่มีบัตรเชิญ” หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็คิดกับตัวเอง ‘ไม่มีทางที่จู่ๆเธอจะมาดีกับไป๋อี้แบบนี้ คราวนี้เธอต้องการอะไรอีกล่ะ?’
“ข้าจะเตรียมเชอร์และเครื่องดื่มเอาไว้ให้พร้อม ข้าจะเป็นเจ้าภาพในคืนนี้” ไป๋หลิงซวงมอบรอยยิ้มให้กับเขา
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปที่นั่น” ดวงตาของหานเซิ่นเต็มไปด้วยความละโมบ
แน่นอนว่าจริงๆแล้วหานเซิ่นไม่ต้องการจะไป แต่เนื่องจากไป๋หลิงซวงยื่นคำเชิญให้กับเขาแบบนี้ เขาก็คิดว่าจะไม่สามารถปฏิเสธเธอได้ ที่สุดแล้วเขาต้องไปอยู่ดี ดังนั้นการตอบตกลงในทันทีจะช่วยลดความสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของเขาที่เธออาจจะมีอยู่
ในห้องสวีทสุดหรูหราภายในเมืองไนท์ชาร์ม หานเซิ่นนั่งอยู่บนโซฟาขณะที่มีเชอร์อยู่ในอ้อมแขน เขามองไปที่ไป๋หลิงซวงและพูด
“พี่สิบ บอกข้ามาว่าจริงๆแล้วท่านต้องการอะไร ท่านใจกว้างกับข้าอย่างมากในค่ำคืนนี้ แน่นอนว่านี่ต้องไม่ใช่แค่โอกาสให้พวกเราได้พบปะสังสรรค์กันเท่านั้น”
“น้องสิบหก การสอบของราชวงศ์กำลังจะมาถึงแล้ว เจ้ามีแผนที่จะทำยังไงกับมัน?” ไป๋หลิงซวงถามด้วยรอยยิ้ม
หานเซิ่นจิบไวท์และบีบก้นของเชอร์ด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะทำอะไรได้? ข้าก็เป็นแค่ระดับราชันขั้นแรกคนหนึ่ง มันมีคนที่เป็นระดับครึ่งเทพเข้าร่วมการสอบด้วย แม้แต่คนที่เป็นระดับเทพเจ้าก็มี ข้าจะไปทำอะไรได้?”
ไป๋หลิงซวงยังคงยิ้มให้กับเขาและพูด “บางทีอาจจะไม่เป็นแบบนั้น การสอบเป็นสิ่งที่ท่านพ่อจัดขึ้นเพื่อตรวจดูความก้าวหน้าของพวกเรา พวกเราไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่ง พวกเราแค่ต้องทำผลงานให้ดีพอที่จะทำให้ท่านพ่อประทับใจ ถ้าพวกเราทำแบบนั้นได้ พวกเราก็จะได้รับรางวัล”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ไป๋หลิงซวงก็พูดต่อ “น้องสิบหก ในช่วงนี้ข้าได้เห็นความก้าวหน้าของเจ้ากับตาตัวเอง ถ้าเจ้าทำผลงานได้ดีในการสอบ ท่านพ่อก็จะสังเกตเห็นถึงความก้าวหน้าของเจ้าเช่นกัน เจ้าจะได้รับรางวัลอย่างงาม”
“ข้าไม่คิดแบบนั้น” หานเซิ่นพูดด้วยความรู้ที่ไม่สบายใจ
ไป๋หลิงซวงมองหานเซิ่นอยู่สักพักก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ถ้าเจ้าไม่อยากจะได้อันดับที่หนึ่งในการสอบจริงๆ ข้ามีหนทางที่จะทำให้พวกเราหาเงินได้เป็นจำนวนมาก เจ้าสนใจไหม?”
“ข้าขาดแคลนแทบจะทุกอย่าง แน่นอนว่าข้าขาดเงินด้วยเช่นกัน พี่สิบได้โปรดบอกข้ามา” หานเซิ่นพูด
ไป๋หลิงซวงยิ้ม “เจ้ารู้สินะว่าในการสอบจะมีภารกิจที่เจ้าต้องไปที่ภูเขากระดูก? ภูเขากระดูกนั้นเป็นสถานที่ที่อันตรายมากๆสำหรับคนของราชวงศ์อย่างพวกเรา นอกจากพี่สี่และพี่สามที่เป็นระดับเทพเจ้าแล้ว ราชวงศ์คนอื่นๆที่ไปที่นั่นอาจจะทำไม่สำเร็จ แม้แต่องค์รัชทายาทเองก็ด้วย แต่น้องสิบหก เจ้านั้นต่างออกไป เจ้ามีการคุ้มครองจากคิงอีซ เจ้าจะต้องไปถึงยอดของภูเขากระดูกได้อย่างแน่นอน”
“ทำไมเจ้าไม่บอกข้ามาตรงๆว่าเจ้าต้องการอะไร?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว
“ถ้าเจ้าช่วยข้าไปถึงยอดของภูเขากระดูกได้ ข้าจะมอบอะไรก็ตามที่เจ้าต้องการ” รอยยิ้มของไป๋หลิงซวงหายไป และเธอดูจริงจังอย่างมาก