การสอบถูกจัดขึ้นเพื่อวัดระดับความสามารถของคนในราชวงศ์ บางการสอบจะวัดศักยภาพด้านความเป็นผู้นำและพลังในตอนที่อยู่เป็นหมู่คณะ ในการสอบแบบนั้นจะอนุญาตให้องครักษ์เข้าร่วมด้วยได้
แต่การสอบอื่นที่เน้นไปที่ความสามารถส่วนบุคคลของคนๆนั้นก็จะมีเฉพาะคนของราชวงศ์เท่านั้นที่เข้าร่วมได้
หนึ่งในการสอบที่วัดความสามารถส่วนบุคคลก็คือการปีนภูเขากระดูกและขึ้นไปให้ถึงยอดของมัน
ภูเขากระดูกเป็น 1 ใน 3 ภูเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาณาจักรกษัตริย์ มันไม่ได้อันตรายอย่างภูเขาเอ็กซ์ตรีม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการจะไปให้ถึงยอดของมันจะเป็นเรื่องง่าย
การปีนภูเขากระดูกเป็นบททดสอบที่จะแสดงถึงพลัง ความกล้าหาญและความอดทน
ภูเขากระดูกถูกเรียกกันทั่วไปว่าภูเขากระดูกเน่า สภาพแวดล้อมที่นั่นเป็นพิษสูงและคนของราชวงศ์ก็หัวรั้นเกินกว่าที่จะล้มเลิกความพยายามง่ายๆ พิษนั้นจะกัดกร่อนร่างกายของพวกเขาจนไม่เหลืออะไร มันมีเพียงกะโหลกที่ภาคภูมิของพวกเขาเท่านั้นที่เหลือทิ้งเอาไว้
หานเซิ่นไม่เคยไปที่ภูเขากระดูกเน่ามาก่อน ดังนั้นเขาไม่แน่ใจว่าต้องไปเจอกับอะไรกันแน่ เขารู้แค่ว่ามันสามารถทำลายความกล้าหาญและความอดทนของคนที่พยายามปืนขึ้นภูเขาได้
แต่ไป๋หลิงซวงบอกว่าถ้าคนที่มีอักษรคิงอีซตัวอาว(傲)หรือกู่(骨) พวกเขาก็มีโอกาสสูงที่จะขึ้นไปถึงยอดเขาภูเขา
หานเซิ่นได้รับการคุ้มครองจากคิงอีซจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงอักษรอาวและกู่ ด้วยเหตุนั้นไป๋หลิงซวงจึงยินดีที่จะจ่ายในราคาสูงเพื่อให้ได้ความช่วยเหลือจากเขา
แต่ที่ไป๋หลิงซวงต้องการขึ้นไปถึงยอดของภูเขากระดูกเน่านั้น ไม่ใช่เพราะเธอต้องการคำชมจากราชาไป๋ เธอต้องการผลประโยชน์ที่ภูเขากระดูกเน่าจะมอบให้กับเธอ ซึ่งรางวัลนั้นจะได้รับเมื่อขึ้นไปถึงยอดของภูเขาเท่านั้น
แต่อะไรกันแน่ที่ไป๋หลิงซวงต้องการ ไป๋หลิงซวงไม่ได้อธิบายและหานเซิ่นก็ไม่ได้ถาม
‘บนยอดภูเขากระดูกเน่ามีอะไรอยู่กันแน่?’ ขณะที่หานเซิ่นสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา
หานเซิ่นมองไปยังหมายเลขที่โทรมาและสังเกตเห็นว่ามันเป็นหมายเลขที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้ เขาปลอมตัวเป็นไป๋อี้อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เก็บโทรศัพท์เก่าของตัวเองเอาไว้ ยังไงก็ตามเขาก็ต้องระมัดระวังและไม่ติดต่อหาใครคนอื่นบนดาวอุปราคา
แต่ตอนนี้จู่ๆก็มีเบอร์ประหลาดโทรมาหาเขา ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าสับสน เขารู้สึกลังเล แต่เขาก็รับสายอยู่ดี
ผู้หญิงผมดำยาวที่งดงามปรากฏบนหน้าจอ ใบหน้าของเธอดูศักดิ์สิทธิ์และดวงตาเขียวมรกตของเธอก็ดูมีเสน่ห์ หน้าอกของเธอมีขนาดเล็ก แต่อย่างอื่นทุกอย่างนั้นดีเยี่ยม
หานเซิ่นมองผู้หญิงในวิดีโอ เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่งดงามที่สุด แต่เขาก็ให้คะแนนความงามของเธอ 9 เต็มสิบ ถึงอย่างนั้นเขาก็จำไม่ได้ว่าเคยพบกับเธอมาก่อน
“เธอคือ?” หานเซิ่นมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นและสังเกตสีหน้าที่สงบของเธอ ยิ่งเขามองดูเธอนานเท่าไหร่ เธอก็ดูคุ้นเคยขึ้นเท่านั้น เขาแค่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นเธอที่ไหน
“ฉันคือหนิงเยวี่ย นายมีเวลาคุยไหม?” เสียงของผู้หญิงนั้นชัดเจน แต่คำพูดของเธอทำให้หานเซิ่นรู้สึกตกใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
หานเซิ่นไม่สามารถระบุถึงความรู้สึกคุ้นเคยของเขาได้ แต่เมื่อได้ยินชื่อหนิงเยวี่ย มันก็ทำให้เขารู้สึกตัว ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความรู้สึกคุ้นเคยมาจากไหนกันแน่
นอกจากร่างกายที่เป็นผู้หญิงแล้ว คนในหน้าจอนั้นมีท่าทางเหมือนกับหนิงเยวี่ยไม่มีผิด ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตามรกตที่ดึงดูดสายตา หานเซิ่นก็คงจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็อึ้งจนพูดไม่ออกอยู่ดี
“รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันโทรกลับไป” หานเซิ่นวางสายและไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ เขาเปิดเครื่องและโทรกลับไปที่หมายเลขนั้น
เมื่ออีกฝ่ายรับสาย ภาพของผู้หญิงที่งดงามคนนั้นก็ปรากฏบนคอมพิวเตอร์ของหานเซิ่น
“มีเรื่องอะไร?” หานเซิ่นกลั้นหัวเราะของเขาเอาไว้ เขาไม่คิดว่าคนอื่นจะสามารถปลอมตัวเป็นหนิงเยวี่ยได้
หนิงเยวี่ยเป็นบุคคลที่พิเศษมากๆ ดังนั้นการจะปลอมตัวเป็นหนิงเยวี่ยจึงถือเป็นเรื่องที่ยาก และถึงจะมีคนต้องการขโมยตัวตนของคนอื่นจริงๆ ทำไมพวกเขาต้องเลือกหนิงเยวี่ยด้วย? เขาไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงหรือคนสำคัญอะไรในจักรวาลจีโน ดังนั้นการปลอมตัวเป็นหนิงเยวี่ยจึงไม่มีประโยชน์อะไร?
เมื่อเห็นความพยายามกลั้นหัวเราะของหานเซิ่น ดวงตาของหนิงเยวี่ยก็กระตุก เขาเริ่มอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หนิงเยวี่ยถูกเผ่าเฮลล์จับตัวและถูกบังคับให้เป็นทาสอยู่ในซีโน่เจเนอิคสเปชลับของเผ่าเฮลล์ ในระหว่างที่เขาอยู่ที่นั่น ผู้หญิงประหลาดคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากหินดำก้อนหนึ่ง เธอฆ่าทั้งเผ่าเฮลล์และทาสที่อยู่ที่นั่นทุกคน
หนิงเยวี่ยคว้าดาบเขียวเล่มเล็กมาได้ในระหว่างความชุลมุน และเขาก็ใช้มันฆ่าเฮลล์คิงและผู้หญิงที่ออกมาจากก้อนหินคนนั้น หลังจากที่ฆ่าพวกเขาได้ หนิงเยวี่ยก็ค้นพบว่าเฮลล์คิงกับผู้หญิงคนนั้นเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้าทั้งคู่ นี่ทำให้หนิงเยวี่ยรู้สึกตกใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมดาบเขียวเล่มเล็กนี้ถึงได้มีพลังมากขนาดนั้น
หนิงเยวี่ยมีพลังของมาร์ควิสคนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นถึงเขาจะมีอาวุธระดับเทพเจ้าอยู่ เขาก็ไม่ควรจะฆ่าสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าได้อยู่ดี แต่ดาบเขียวเล่มน้อยนี้สามารถตัดหัวของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งคู่บาดเจ็บหนัก แต่ถึงอย่างนั้นพลังของดาบเขียวเล่มน้อยก็ยังเป็นอะไรที่น่าตกใจอยู่ดี
“นายบอกว่านายใช้ดาบเขียวเล่มหนึ่งฆ่าสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า 2 คนอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นจ้องหนิงเยวี่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
ถึงแม้หานเซิ่นจะใช้ธันเดอร์ก็อตสไปค์ เขาก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายกับสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าได้ ส่วนหนิงเยวี่ยเป็นแค่มาร์ควิสคนหนึ่ง ดังนั้นพลังของดาบเขียวเล่มน้อยจึงเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ
“ใช่ และฉันก็ได้รับวิญญาณอสูรระดับเทพเจ้าดวงหนึ่งมา” หนิงเยวี่ยนำดาบเขียวเล่มน้อยออกมา
“นายได้รับวิญญาณอสูรระดับเทพเจ้า? นายนี่โชคดีจริงๆ!”
หลังจากที่หานเซิ่นหายตกใจไปแล้ว เขาก็ตรวจดูดาบเล่มน้อยของหนิงเยวี่ย ใบมีดนั้นมีความกว้าง 2 นิ้ว มันมีเฉดสีเขียวเข้มที่น่าสนใจ แต่นอกจากสีของมันแล้ว ตัวดาบก็ไม่ได้ดูพิเศษอะไร มันไม่มีการแกะสลักบนใบมีดและมันไม่มีแม้แต่ฝักที่จะเข้าคู่กับมันด้วยซ้ำ
“ฉันไม่อยากได้รับมัน” หนิงเยวี่ยพูดอย่างเคร่งขรึม เขาผลิกดาบเขียวเพื่อเผยอีกด้านหนึ่งให้หานเซิ่นดู มันมีรอยสีเขียวอยู่บนใบมีดราวกับว่ามีของเหลวบางอย่างเปื้อนผิวของมัน
“นั่นคืออะไร?” หานเซิ่นถาม
“ฉันไม่รู้ มันไม่ยอมหายไป”
หนิงเยวี่ยหยุดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อ “หลังจากที่ฉันฆ่าสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าทั้ง 2 ร่างกายของพวกเขาก็กลายเป็นของเหลว หลังจากนั้นมันก็หายไป มันไม่มีอะไรหลงเหลือ ไม่มีแม้แต่ยีนซีโน่เจเนอิค”
เมื่อหานเซิ่นได้ยินแบบนั้น เขาก็ขมวดคิ้วและสีหน้าของเขาก็ดูจริงจังขึ้นมา
สำหรับซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า ร่างกายทั้งร่างของพวกเขาคือยีนซีโน่เจเนอิค ดังนั้นการละลายมันจึงควรจะเป็นไปไม่ได้ มันต้องเกี่ยวข้องกับดาบเขียวเล่มน้อย
“เมื่อฉันเดินทางออกจากซีโน่เจเนอิคสเปช ครั้งแรกที่ฉันหลับ ฉันก็ตื่นมาในสภาพนี้” หนิงเยวี่ยถอนหายใจ
“นาย… นี่นายสูญเสีย…” หานเซิ่นไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
“ไม่ ความเป็นผู้ชายของฉันยังคงอยู่ แต่บางส่วนของฉันดูเหมือนกับของผู้หญิง” กล้ามเนื้อบริเวณแก้มของหนิงเยวี่ยกระตุก