“นายลองใช้ดาบน้อยของนายเพื่อแก้ไขสถานการณ์แล้วหรือยัง?”
หานเซิ่นรู้สึกตัวขึ้นมาว่ากำลังพูดถึง ‘ดาบน้อย’ ของหนิงเยวี่ย และเขาก็รีบส่ายหัวเพื่อกำจัดความคิดเหล่านั้นไป
หนิงเยวี่ยมองหานเซิ่นอย่างแปลกๆและพูด “ฉันลองทุกอย่างแล้ว! ฉันลองพยายามทำลายมันและโยนมันทิ้ง ฉันลองแม้กระทั่งขายมัน แต่ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ร่างกายของฉันก็ยังคงเป็นแบบนี้ และเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันนอนหลับ เจ้าสิ่งนี่ก็จะมาอยู่บนอกของฉัน ในตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา”
“ดูเหมือนว่ามันจะเป็นดาบที่ชั่วร้าย… นายคิดจะทำยังไง?”
หานเซิ่นรู้ว่าหนิงเยวี่ยเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด มันไม่มีทางที่เขาจะติดต่อมาโดยไม่มีเหตุผล
“ดาบเขียวเล่มนี้มาจากเหมืองในซีโน่เจเนอิคสเปช ดังนั้นฉันจึงกลับไปสำรวจสถานที่แห่งนั้นอีกครั้ง และฉันก็พบเรื่องน่าสนใจบางอย่าง เผ่าเฮลล์อยู่ภายใต้การควบคุมของเผ่าพันธุ์อื่น และเผ่าพันธุ์นี้นั้นก็มอบหน้าที่ขุดเหมืองให้กับพวกเขา การสร้างปราสาทและรูปปั้นเป็นเพียงแค่ฉากหน้าเท่านั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาคือการหาอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในเหมือง”
หลังจากที่หยุดไปชั่วครู่ หนิงเยวี่ยก็พูดต่อ “เพื่อหาว่าดาบเขียวเล่มนี้คืออะไร พวกเราต้องเริ่มจากเหมืองนั่น”
“ตอนนี้นายควรอยู่ห่างจากซีโน่เจเนอิคสเปชนั่นไปก่อน” หานเซิ่นพูด
“ตอนนี้ฉันอยู่บนดาวของพวก1000สมบัติ ก่อนที่จะจากมาฉันได้ลบร่องรอยทั้งหมดที่อยู่ที่นั่นไปแล้ว” หนิงเยวี่ยพูด
“นายรู้ไหมว่าใครที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้?” หานเซิ่นพูด
“ฉันไม่รู้ จากการปะติดปะต่อข้อมูลทั้งหมดที่หามาได้ ฉันแค่รู้ว่ามีเผ่าอื่นคอยบ่งการเผ่าเฮลล์ มันไม่มีหลักฐานอะไรที่มาสนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้” หนิงเยวี่ยส่ายหัวของเขา
หานเซิ่นเงียบไปชั่วครู่ “ขอเวลาฉันสักหน่อย ตอนนี้ฉันเองก็กำลังมีปัญหาอยู่ ฉันยังเดินทางออกจากเอ็กซ์ตรีมคิงไม่ได้ ถ้านายรอฉัน ฉันจะหาทางติดต่อกลับไปเมื่อฉันออกจากที่นี่ได้แล้ว”
“โอเค” หนิงเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรมากหลังจากนั้น พวกเขาคุยรายละเอียดกันอีกนิดหน่อยก่อนที่จะวางสายไป
ใบหน้าของหานเซิ่นบิดเบี้ยว เขาอยากจะหัวเราะ แต่เขาไม่สามารถทำได้
โชคดีที่หนิงเยวี่ยเป็นคนสุขุม ถ้าเหตุการณ์อย่างเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับหานเซิ่นล่ะก็ มันก็คงจะทำให้เขาเป็นบ้าไป
หานเซิ่นนำแผนที่ที่เป็นของเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงออกมาและมองหาซีโน่เจเนอิคสเปชที่หนิงเยวี่ยพูดถึง แต่มันไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็ค้นหาระบบจักรวาลที่มีซีโน่เจเนอิคสเปชนั้นอยู่และพบว่าระบบจักรวาลนั้นเป็นของเผ่าพันธุ์เล็กๆที่อยู่ภายใต้การปกครองของปราสาทนภา เผ่าพันธุ์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่เล็กมากๆ ถึงขนาดที่พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก
‘ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าพันธุ์เล็กๆนี้ ดูเหมือนว่าจะมีผู้คนไม่มากที่รู้เกี่ยวกับซีโน่เจเนอิคสเปชนั่น’
หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘เผ่าเฮลล์และฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คงจะทำงานกันอย่างลับๆ นี่ไม่มีทางเป็นเขตแดนของพวกเขาไปได้ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นพันธมิตรกับปราสาทนภา และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ขุดเหมืองที่นั่นอย่างลับๆ ถ้าพวกเขาลังเลที่จะกลับไปที่ซีโน่เจเนอิคสเปชนั่นอีกครั้ง พวกเราก็ยังมีโอกาสอยู่’
ขณะที่หานเซิ่นคำนึงถึงตัวเลือกของเขา เขาก็เริ่มจะรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ปัญหาใหญ่ของเขาในตอนนี้ก็คือการที่ไม่สามารถออกไปจากเอ็กซ์ตรีมคิงได้ คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่มีทางปล่อยเขาเป็นอิสระ
พลังที่จำกัดของหานเซิ่นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าถูกขุดออกมาจากซีโน่เจเนอิคสเปชนั้น ซึ่งในอตนนี้เขายังไม่มีพลังพอที่จะรับมือกับพวกมัน ถ้าเขาต้องการจะไปที่นั่น เขาก็ต้องพานกแดงน้อยไปด้วย ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ก็อาจจะเลวร้ายขึ้นมา ถ้าพวกเขาต้องไปเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าเข้า
ถ้าเขาไปดึงดูดบางสิ่งที่เลวร้ายเหมือนอย่างดาบเขียวของหนิงเยวี่ย หานเซิ่นก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกหนาวขึ้นมา
‘ยังไงหนิงเยวี่ยก็ไม่ใช่คนที่จะบุ่มบ่ามทำอะไร ตอนนี้เราควรจะให้ความสนใจกับสถานการณ์ของตัวเองก่อนที่จะทำอะไรอย่างอื่น’ หานเซิ่นขมวดคิ้วขณะที่คิดแบบนั้น
หานเซิ่นและหลันไห่ซินตกลงเวลาที่จะพบกัน ซึ่งหานเซิ่นเองก็อยากจะเห็นโบราณวัตถุที่เธอพูดถึงนี้เช่นกัน ถ้าเขาได้มันมา มันก็อาจจะมอบพลังให้กับเขา
ถึงแม้หลันไห่ซินจะเป็นคนที่ได้มันไป เธอก็เป็นภรรยาของไป๋อี้ อย่างนั้นแล้วหานเซิ่นที่เป็นคนช่วยเธอก็ควรจะได้รับอะไรบางอย่างจากข้อตกลงนี้อยู่ดี
หานเซิ่นคิดว่าการไปกับหลันไห่ซินไม่ถือว่าเป็นความคิดที่เลวร้ายอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรที่จะถูกลากตัวไป
หานเซิ่นเหลือเวลาไม่มากนักก่อนที่ถึงเวลานัดพบ ในช่วงนั้นแทนที่จะไปที่สวนของกษัตริย์ หานเซิ่นตัดสินใจที่จะศึกษาความลับของศาสตร์ตงเสวียนอยู่ที่บ้านแทน ศาสตร์ตงเสวียนนั้นแตกต่างจากวิชาจีโนอื่นๆ ถึงแม้เขาจะเลื่อนระดับมันได้แล้ว แต่เขาก็ยังต้องทำความเข้าใจถึงวิธีใช้พลังที่ได้มาอยู่ดี พวกมันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถใช้ได้ในทันที
หานเซิ่นยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธาตุของศาสตร์ตงเสวียน มันคล้ายคลึงกับออร่าศาสตร์ตงเสวียน แต่เขาสามารถบอกได้ว่ามันมีสิ่งสำคัญบางอย่างที่ต่างออกไป ตอนนี้หานเซิ่นแค่ต้องหาจะว่าสิ่งนั้นคืออะไร
นอกจากนั้นหานเซิ่นยังใช้เวลาเพื่อศึกษาวิญญาณอสูรของหอยสังข์ภูเขา ซึ่งเขาพบว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจ อาณาเขตแสงสีฟ้าที่มันปลดปล่อยออกมานั้นเป็นอะไรที่มหัศจรรย์ แต่เมื่อมันถูกปลดปล่อยใส่สิ่งมีชีวิต มันจะไม่ส่งผลโดยตรง หลังจากที่ทำการศึกษาค้นคว้าอยู่หลายวัน ในที่สุดหานเซิ่นก็ค้นพบบางสิ่ง เขาเข้าใจถึงวิธีการที่แท้จริงที่จะใช้อาณาเขตของหอยสังข์ภูเขา
นอกปราสาทใต้น้ำ เหล่าขุนนางของเผ่าไซเรนเริ่มจะมารวมตัวกัน รวมทั้งหมดแล้วพวกเขามีกันอยู่ราวๆ 2 ร้อยคนด้วยกัน มันมีไซเรนระดับราชัน 5 คนและระดับครึ่งเทพหนึ่งคนปะปนอยู่ด้วย
หลันไห่ซินเองก็เป็นระดับราชัน ผู้เหลือรอดของเผ่าไซเรนนั้นถือว่าไม่เลวเลย แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานให้กับหานเซิ่น พวกเขาฟังแค่คำสั่งของหลันไห่ซินเท่านั้น
ไป๋อี้เป็นเลือดบริสุทธิ์รุ่นสุดท้าย และเขาก็เป็นสามีของหลันไห่ซิน แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับเหล่าไซเรนแล้ว เขาไม่ได้มีความสำคัญอะไร
ถ้าหานเซิ่นไม่ได้แสดงความก้าวหน้าที่น่าประทับใจในช่วงนี้ พวกเขาก็คงจะยังมองหานเซิ่นด้วยความดูถูก
หลันไห่ซินพาเป่าออกไปที่แถวหน้าสุด เมื่อเห็นหานเซิ่นและกิเลนโลหิตเดินเข้ามา เป่าเอ๋อก็ดูหวาดกลัว เธอหนีไปซ่อนด้านหลังของหลันไห่ซิน
“ไม่ต้องกลัว ตราบใดที่พี่สาวอยู่ที่นี่ พี่จะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายหนูได้” หลันไห่ซินพูดปลอบและลดตัวลงเพื่อกอดเป่าเอ๋อ
‘เป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์อะไรอย่างนี้… มันคงจะเป็นอะไรที่น่าเสียดายถ้าเธอไม่ได้มีอาชีพเป็นนักแสดง’ หานเซิ่นอยากจะร้องไห้กับภาพที่เห็น การแสดงของเป่าเอ๋อนั้นดีเกินไป ถ้าเขาไม่ได้รู้จักเป่าเอ๋อล่ะก็ เขาก็คงจะถูกหลอกอย่างสนิทใจ
หานเซิ่นหัวเราะออกมาและมองไปที่เป่าเอ๋อ “อย่าลืมว่านั่นเป็นลูกสาวของข้า ข้าขอเตือนเจ้า อย่าแตะต้องเป่าเอ๋อเป็นอันขาด”
เมื่อเห็นว่าเป่าเอ๋อยังคงหวาดกลัวและหลบซ่อนอยู่ด้านหลังของเธอ หลันไห่ซินก็หันมาจ้องหานเซิ่นและพูด “โอเค แต่เจ้าจะพานางกลับไปกับเจ้าไม่ได้”
หานเซิ่นมองไปที่เป่าเอ๋อและเลียริมฝีปากของเขา
“พวกเราจะไปพร้อมกัน พวกเราจะทิ้งนางเอาไว้ที่นี่ไม่ได้ ไม่ต้องกังวล นางจะไม่รบกวนอะไรพวกเรา” หลันไห่ซินจูงมือเป่าเอ๋อไปข้างหน้าและเมินเฉยต่อหานเซิ่น
หานเซิ่นยักไหล่และขี่กิเลนโลหิตตามหลังเธอไป
ไซเรนตามพวกเขามาอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาทุกคนดูตื่นเต้น
“องค์ชาย ข้าขอรออยู่ที่นี่ได้ไหม?” ลิลลี่ยืนอยู่ด้านหลังของหานเซิ่นและขออนุญาตของเขาอย่างเบาๆ
“เจ้าไม่อยากไปอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นมองลิลลี่อย่างแปลกๆ
ลิลลี่กำลังจะตอบ แต่ทันใดนั้นหญิงแก่เผ่าไซเรนที่อยู่ข้างๆหลันไห่ซินก็พูดขึ้นมา
“นี่เป็นวันสำคัญของเผ่าไซเรน พวกเราทุกคนจำเป็นต้องไปเข้าร่วม นอกซะจากเจ้าไม่ใช่หนึ่งในพวกเรา?”
ลิลลี่ลดหัวลงต่ำและไม่พูดอะไรอีก