หานเซิ่นขี่หลังกิเลนโลหิตและตามหลังหลันไห่ซินไปอย่างช้าๆ เขาทำเหมือนกับว่าไม่ได้สนใจอะไร แต่ความจริงแล้วเขาไม่รู้ว่าโบราณวัตถุนั้นอยู่ที่ไหน ดังนั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นไม่รีบไม่ร้อนอะไรเพื่อที่เขาจะได้อยู่ด้านหลังของหลันไห่ซิน
สิ่งที่ทำให้หานเซิ่นสับสนก็คือหญิงแก่เผ่าไซเรนที่อยู่ข้างหน้าไม่ได้พาพวกเขาออกไปจากดาววอเทอร์โซน พวกเขากำลังมุ่งหน้าลึกเข้าไปในท้องทะเลแทน
‘นี่สมบัติของไซเรนอยู่บนดวงดาวแห่งนี้อย่างนั้นหรอ? ถ้าสมบัตินั้นอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วทำไมพวกเขาถึงยังไม่เอามันมาอีก’
หานเซิ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตัว ‘บางทีหลันไห่ซินและคนอื่นอาจจะไม่ได้เป็นเจ้าของโบราณวัตถุนั้น? บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้นำมันมาที่นี่ แต่โบราณวัตถุนั้นคงจะอยู่บนดาววอเทอร์โซนตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงแล้ว”
หานเซิ่นครุ่นคิดเพิ่มอีกเพื่อคำนึงถึงรายละเอียดต่างๆ
‘แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ คนที่ครอบครองโบราณวัตถุก็น่าจะเป็นแม่ของไป๋อี้ แต่ทำไมแม่ของไป๋อี้ถึงไม่มอบโบราณวัตถุให้กับลูกชายคนเดียวของเธอ? จากบันทึกของไป๋อี้ ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ว่าโบราณวัตถุอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่คนที่รู้กลับเป็นหลันไห่ซิน สถานการณ์ทั้งหมดนี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด’
หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับมันเพิ่มอีก แต่เขาไม่สามารถหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจตามน้ำไป เขาจะปลาบปลื้มอย่างมาก ถ้าเขาได้โบราณวัตถุมาเป็นของตัวเอง แต่มันก็ไม่เป็นไรถ้าเกิดเขาไม่ได้มันมา เพราะยังไงซะมันก็ไม่ใช่ของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ด้วยการนำทางของหญิงแก่เผ่าไซเรน หานเซิ่นและคนอื่นไปหยุดอยู่ใกล้ๆกับภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ใต้ทะเล
หานเซิ่นขมวดคิ้วและมองไปรอบๆ
หานเซิ่นคุ้ยเคยกับภูเขาลูกนี่ ครั้งก่อนที่เขามาที่นี่นั้นเขาได้ไล่ตามหอยสังข์ภูเขามา ความจริงแล้วที่นี่คือที่ที่เขาฆ่าหอยสังข์ภูเขาและหอยสังข์คริสตัลสายรุ้ง
แต่ครั้งก่อนหานเซิ่นอยู่ทางด้านซ้ายของภูเขา ตอนนี้เขายืนอยู่ที่ด้านขวาของภูเขาแทน
‘หอยสังข์คริสตัลสายรุ้งไม่มีทางเกี่ยวข้องกับโบราณวัตถุนี้หรอกใช่ไหม’
หานเซิ่นคิด เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งที่แปลกประหลาดมากๆกำลังเกิดขึ้น
ไป๋อี้ไล่ฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับสูงทั้งหมดของดาววอเทอร์โซน แต่ที่ภูเขาลูกนี้กลับมีซีโน่เจเนอิคระดับราชัน 2 ตัวและระดับเทพเจ้าอีกหนึ่งตัว นั่นถือเป็นอะไรที่แปลกประหลาด
“องค์หญิง มันไม่เป็นอะไร” หญิงแก่เผ่าไซเรนเดินออกไปตรงหน้าภูเขาก่อนที่จะหันกลับมาโค้งคำนับหลันไห่ซิน
หลันไห่ซินพยักหน้าและมอบเป่าเอ๋อให้กับองครักษ์หญิงเผ่าไซเรน หลังจากนั้นเธอก็เดินไปตรงหน้าภูเขาและถอดสร้อยคอออกมาจากคอของเธอ
สร้อยคอนั้นดูเรียบง่าย โซ่สีแดงของสร้อยคอประดับด้วยจี้หินสีฟ้า มันไม่ได้ส่องประกายเหมือนกับอัญมณี ดังนั้นมันจึงไม่ได้ดูพิเศษอะไร
ถ้าหลันไห่ซินไม่นำมันออกมาในตอนนี้ หานเซิ่นก็ไม่มีทางรู้เลยว่ามันเป็นของสำคัญ เขาจะเดินผ่านมันโดยไม่เหลียวมามอง ถ้ามันวางอยู่ด้านข้างของถนน มันดูธรรมดาเกินกว่าที่จะดึงดูดสายตาของผู้คน
มันมีรูสามเหลี่ยมขนาดเล็กอยู่ที่ไหล่เขา และหลันไห่ซินก็สอดหินสีฟ้าเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นก็มีเสียงบูมดังขึ้นมาจากภายในภูเขา
ภูเขาใต้น้ำทั้งลูกเคลื่อนไหวและเผยให้เห็นเส้นทางที่มืดมิด บันไดนำลึกลงไปใต้ภูเขา และเมื่อหานเซิ่นพยายามมองลงไป เขาก็เห็นแต่สีดำสนิทเท่านั้น
นอกจากนั้นน้ำทะเลก็ถูกแยกออกด้วยพลังที่มองไม่เห็น บนบันไดนั้นแห้งสนิท
หญิงแก่เผ่าไซเรนค่อยๆเดินลงบันไดไป และหลันไห่ซินก็พาเป่าเอ๋อกับไซเรนคนอื่นตามหลังไป
ขณะที่เดินลงบันไดไป หานเซิ่นก็ขมวดคิ้วและมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกกังวลต่อบางสิ่งที่ไม่มองเห็น แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้น
หานเซิ่นเชื่อในสัญชาตญาณตัวเอง ถ้าเขารู้สึกไม่สบายใจแบบนี้ มันก็ต้องมีอันตรายบางอย่างซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้อย่างแน่นอน
แต่หานเซิ่นยังสัมผัสถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ที่นี่ไม่ได้ บันไดนำพวกเขาลงไปเรื่อยๆราวกับว่าพวกมันไม่มีที่สิ้นสุด ผู้คนส่องสว่างในความมืดมิด แต่แสงของพวกเขาเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆของบริเวณรอบๆเท่านั้น และแสงของพวกเขาก็ไม่สามารถเจาะทะลุความมืดออกไประยะไกลได้
หานเซิ่นมองไปยังบันไดที่มืดมิด และเขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังเดินลงไปในปากของอสูรที่ชั่วร้าย
ลิลลี่นั้นหวาดกลัวอย่างมาก เธอพยายามจะยืนใกล้ๆกับกิเลนโลหิต เธอเกือบจะพบว่าตัวเองกำลังเกาะขาของหานเซิ่น โดยปกติแล้วเธอจะหวาดกลัวต่อกิเลนโลหิตและพยายามอยู่ห่างออกไปจากมัน มันเห็นได้ชัดว่าความมืดทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างมาก
ในสถานการณ์อื่น หานเซิ่นคงจะพยายามปลอบขวัญเธอเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้เขากำลังปลอมตัวเป็นไป๋อี้ ไป๋อี้ไม่ใช่คนที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจใคร ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงแกล้งทำเป็นว่ามองไม่เห็น
กลุ่มของพวกเขาเดินลงบันไดไปอย่างเงียบๆ หานเซิ่นไม่แน่ใจว่าพวกเขาเดินทางมานานแค่ไหนแล้ว แต่เขาคิดว่ามันผ่านมาอย่างน้อยๆ 8 ชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะเห็นแสงสว่าง
“พวกเราเกือบจะถึงแล้ว” หญิงแก่เผ่าไซเรนดูดีใจ เธอเคลื่อนที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
แสงในความมืดนั้นสว่างขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากที่เดินทางไปอีกครึ่งชั่วโมง หานเซิ่นก็เห็นสิ่งที่อยู่ในแสงนั้น
มันเป็นปราสาทคริสตัลที่ดูเหมือนกับออกมาจากเทพนิยาย ทั้งปราสาทอาบด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์และเมฆที่ดูลึกลับ มันดูเหมือนกับบางสิ่งที่ออกจากดินแดนแห่งความฝัน
เมื่อหานเซิ่นและคนอื่นเข้าไปใกล้ พวกเขาก็เห็นว่าเหนือประตูของปราสาทคริสตัลนั้นมีป้ายอยู่ มันเขียวเอาไว้ว่าปราสาทคริสตัลจริงๆ
เมื่อมองไปที่ปราสาทคริสตัล หานเซิ่นก็รู้สึกค่อนข้างกังวล หัวใจของเขาเต้นรัว
ปราสาทคริสตัลนั้นโปร่งใสทั้งหลังราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากคริสตัล เขาควรจะมองทะลุผ่านเข้าไปข้างในได้ แต่เมฆและประกายของแสงสีรุ้งที่ลอยอยู่ในปราสาท ทำให้มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
แสงสีรุ้งนั้นทำให้หานเซิ่นรู้สึกตกใจเล็กน้อย มันดูเหมือนกับสายรุ้งของหอยสังข์ระดับเทพเจ้าที่เขาฆ่าตายไป
และคริสตัลของปราสาทคริสตัลก็ดูเหมือนจะเป็นวัสดุเดียวกันกับเปลือกของหอยสังข์คริสตัลสายรุ้ง
“นั่นเป็นแค่เรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัย แต่เขาไม่คิดแบบนั้น
ตอนนี้หานเซิ่นเริ่มรู้สึกลังเลที่จะเดินหน้าต่อไป ถ้าหอยสังข์คริสตัลสายรุ้งเป็นซีโน่เจเนอิคจากปราสาทคริสตัลนี้ล่ะก็ มันก็อาจจะมีซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าซ่อนอยู่ภายในนั้นอีก
หานเซิ่นหันมองไปที่เป่าเอ๋อและนกแดงน้อยบนไหล่ของเธอ พวกเธอดูไม่ได้กังวลอะไรกับสถานที่แห่งนี้ ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย
ขณะที่หานเซิ่นกำลังคิด กลุ่มของพวกเขาก็ไปถึงหน้าประตูปราสาท หลังจากนั้นหลันไห่ซินก็หันมามองหานเซิ่น “ถึงตาเจ้าแล้ว”
หานเซิ่นสะดุ้ง เขาไม่รู้ว่าหลันไห่ซินหมายถึงอะไร แต่เขาก็ไม่สามารถแสดงความสับสนออกมาได้
ดังนั้นเขาจึงมองไปที่ประตูของปราสาทคริสตัลและแกล้งทำเป็นว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เจ้ามาถึงที่นี่แล้ว เจ้ายังมัวรออะไรอีก นี้เจ้าไม่เชื่อใจแม่ตัวเองอย่างนั้นหรอ? ถ้านางไม่ได้ตั้งให้ประตูของปราสาทคริสตัลเปิดได้เฉพาะเลือดของเจ้า ข้าก็คงจะไม่ยอมรับคำร้องขอของนาง”
หลันไห่ซินมองไปที่หานเซิ่น “ตอนนี้เมื่อเจ้ารู้ว่าปราสาทคริสตัลอยู่ที่ไหน เจ้าก็คิดที่จะเพิกถอนข้อตกลงของพวกเราอย่างนั้นหรอ?”