Super God Gene – ตอนที่ 2383

หานเซิ่นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่อ่อนโยน แต่มันก็เป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้นก่อนจะหายไป คิงอีซของหานเซิ่นส่องสว่างขึ้นมา การปีนขึ้นสู่ยอดเขาเป็นอะไรที่ยาวนานและเหนื่อยล้า ขั้นบันไดนั้นคดเคี้ยวเหมือนกับตะขาบขนาดมหึมา

 

หานเซิ่นเห็นองค์ชายสี่และองค์หญิงสองพยายามจะต่อสู้กับแรงต้านทาน แต่พวกเขากำลังวิ่งอยู่บนบันไดขั้นเดิมซ้ำๆ

 

หานเซิ่นวิ่งขึ้นไปที่ยอดเขาได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร ขณะที่องค์ชายสี่และองค์หญิงสองยังคงวิ่งอยู่บนบันไดขั้นเดิมราวกับหนูแฮมเตอร์ในกงล้อ

 

“ดูเหมือนว่าคิงอีซจะปกป้องเราจากการถูกกักขังในมิติประหลาดนี่”
หานเซิ่นไม่มีอารมณ์จะมามองราชวงศ์ระดับเทพเจ้าทั้ง 2 เขาใช้ความพยายามไปกับการวิ่งขึ้นสู่ยอดเขา

 

ยอดของภูเขานั้นกว้างมากๆ มันน่าจะใหญ่โตพอๆกับสนามฟุตบอล พื้นที่ส่วนใหญ่ราบเรียบ แต่ทว่ามันมีจุดๆหนึ่งบนยอดเขาที่เป็นโขดหิน

 

โขดหินไม่ได้สูงเกินกว่าหนึ่งร้อยเมตร มันดูแหลมคมเหมือนกับดาบที่ชี้ขึ้นไปสู่ท้องฟ้า และที่ด้านข้างของมันก็มีตัวอักษรสลักอยู่ พวกมันอ่านได้ว่า “ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น”

 

การมองดูไปที่ตัวอักษรเหล่านั้นจะทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุก พวกมันเป็นเหมือนกับดาบลมปราณนับพันที่จะฉีกร่างกายของคนนั้นได้ในเวลาไม่ถึงวินาที

 

“เป็นจิตแห่งดาบที่ทรงพลังอะไรขนาดนี้!” หานเซิ่นประหลาดใจเมื่อได้อ่านตัวอักษรที่สลักเอาไว้

 

วิชาดาบของหานเซิ่นถือว่าไม่เลว ถึงแม้เขาจะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การฝึกวิชาดาบเพียงอย่างเดียว แต่จิตแห่งดาบของเขาก็เกือบจะเทียบเท่ากับยอดฝีมือระดับเทพเจ้า

 

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวอักษรเหล่านั้น จิตแห่งดาบของหานเซิ่นถูกบดขยี้ มันเหมือนกับว่าเขากำลังสั่นกลัวภายใต้แรงกดดันที่ตกลงมาใส่เขาจากด้านบน

 

‘ใครก็ตามที่ทิ้งอักษรเหล่านี้เอาไว้จะต้องเชี่ยวชาญในวิชาดาบมากๆ คนๆนั้นต้องมีพรสวรรค์ในระดับที่น่าเหลือเชื่อ ใครกันที่เป็นคนที่ทิ้งตัวอักษรเหล่านี้เอาไว้? มันมีนักดาบที่เก่งกาจมากมายตลอดประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของเอ็กซ์ตรีมคิง และกษัตริย์หลายๆองค์ของเอ็กซ์ตรีมคิงก็เป็นนักดาบ แม้แต่สามัญชนของเอ็กซ์ตรีมคิงหลายคนก็เป็นนักดาบระดับเทพเจ้า’
หานเซิ่นหยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะคิดต่อไปว่า ‘แต่จิตแห่งดาบระดับนี้ นักดาบคนนั้นคงจะต้องก้าวข้ามระดับเทพเจ้า และเขาคงจะเป็นหนึ่งในนักดาบที่มีชื่อเสียง แต่เราไม่รู้จักพวกเขา’

 

หานเซิ่นหันหนีจากตัวอักษรเหล่านั้นและมองไปรอบๆยอดเขา แต่นอกจากโขดหินนี้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นบนยอดเขา

 

“ไป๋หลิงซวงบอกว่ามันมีบางสิ่งที่จะได้รับจากการมาถึงยอดเขาแห่งนี้ นี่เธอหมายถึงโขดหินนี่และตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้อย่างนั้นหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นผลประโยชน์อะไรกันที่เธอจะได้รับ? หรือว่าโขดหินนี่ก็คือสมบัติที่เธอพูดถึง? แต่มันดูจะไม่เป็นแบบนั้น รางวัลที่ไป๋หลิงซวงพูดถึงคงจะเป็นจิตแห่งดาบที่ถูกทิ้งเอาไว้” หานเซิ่นอ่านตัวอักษร ‘ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น’ อีกครั้ง

 

จิตแห่งดาบนั้นทรงพลังอย่างมาก เพียงแค่มองมันก็เป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัว การได้เห็นมันจะทำให้คนปกติรู้สึกแย่ขึ้นมา เมื่อเทียบกับจิตแห่งดาบธรรมดาๆกับจิตแห่งดาบที่ถูกทิ้งเอาไว้นี่ มันก็เหมือนกับการเทียบก้อนหินกับดวงจันทร์ พวกมันทั้ง 2 เป็นอะไรที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

แม้แต่หานเซิ่นที่มีจิตใจที่แข็งแกร่งก็ยังรู้สึกว่ามันยากลำบากที่จะคงสติเอาไว้ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าจิตแห่งดาบนี้

 

แต่จิตแห่งดาบของเขาแข็งแกร่งและไม่สั่นไหวง่ายๆ เขายืนหยัดอยู่ตรงนั้นและมองไปที่ตัวอักษรอย่างตั้งใจ

 

ด้วยเหตุผลบางอย่างหานเซิ่นรู้สึกเหมือนกับว่าเขาพยายามจะเกาในส่วนที่เอื้อมไม่ถึง เขาไม่สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของจิตแห่งดาบได้

 

ขณะที่หานเซิ่นจ้องไปที่โขดหิน เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากขั้นบันไดที่อยู่ด้านหลัง เขาหันไปมองและเห็นองค์ชายสี่วิ่งขึ้นมา

 

“คารวะองค์ชายสี่” หานเซิ่นโค้งคำนับ

 

องค์ชายสี่มองมาที่หานเซิ่นแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาเดินเข้าไปหาโขดหิน เมื่อเขามองไปที่ตัวอักษร สมาธิของเขาก็จดจ่อไปที่พวกมัน และเขาก็เมินเฉยต่อหานเซิ่นโดยสมบูรณ์

 

องค์ชายสี่ยืนนิ่งสนิทไปจนกระทั่งองค์หญิงสองมาถึง เมื่อเธอเห็นว่าหานเซิ่นและองค์ชายสี่มาถึงก่อนแล้ว เธอก็ดูเสียใจเล็กน้อย

 

เธอไม่ได้รู้สึกอะไรที่องค์ชายสี่รวดเร็วกว่าเธอ แต่การที่หานเซิ่นมาถึงยอดเขาก่อนหน้าเธอด้วยนั้นทำให้เธอรู้สึกเสียใจ

 

แต่เธอเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า ความเสียใจของเธอแสดงออกมาเพียงแค่แว็บเดียวเท่านั้นก่อนที่มันจะหายไป องค์หญิงสองเดินมาที่โขดหินและหันความสนใจไปที่ตัวอักษรเช่นเดียวกับที่องค์ชายสี่ทำ เธอเมินเฉยต่อตัวตนของหานเซิ่นเช่นเดียวกัน

 

เมื่อเห็นการกระทำของราชวงศ์ระดับเทพเจ้าทั้ง 2 มันก็ช่วยยืนยันว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการขึ้นมาถึงยอดเขาคือตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้จริงๆ และนั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกผิดหวัง

 

จิตแห่งดาบนั้นสุดยอดมากก็จริง แต่หานเซิ่นไม่ได้ใช้ดาบเป็นหลัก ถ้าจักรพรรดิหกวิถีมาอยู่ที่นี่ บางทีเขาคงจะได้ประโยชน์มากกว่า หานเซิ่นอยู่ที่นั่นและมองไปที่ตัวอักษรอยู่สักพัก แต่เขาไม่ได้เรียนรู้อะไร

 

แต่ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว หานเซิ่นไม่คิดจะยอมปล่อยโอกาสไป ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ

 

หลังจากผ่านไปสักพัก หานเซิ่นก็นึกได้ถึงข้อตกลงที่ทำไว้กับไป๋หลิงซวง มันเกือบจะได้เวลาแล้ว ดังนั้นเขาจึงเดินลงจากยอดเขา

 

องค์ชายสี่และองค์หญิงสองเห็นหานเซิ่นเดินลงจากยอดเขาไป นั่นทำให้พวกเขารู้สึกสับสน แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรหานเซิ่น พวกเขาหันความสนใจกลับไปที่ตัวอักษร

 

หานเซิ่นเดินลงมาและเห็นองค์ชายองค์หญิงหลายคนกำลังวิ่งอยู่กับที่ ไป๋หลิงซวงเองก็กำลังวิ่งอยู่กับที่เช่นเดียวกัน เหล่าราชวงศ์วิ่งราวกับไก่ไร้หัว แต่ไม่มีใครเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแม้แต่นิดเดียว

 

ไป๋หลิงซวงดูโกรธ เธอตะเกียกตะกายอยู่เป็นเวลานาน ร่างกายของเธอได้รับผลจากพลังของมิติที่บิดเบี้ยว ทำให้เธอไม่สามารถเคลื่อนที่ไปไหนได้ ความรู้สึกโกรธของเธอเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป

 

“ไป๋อี้! ถ้าเจ้าเอาของของข้าไปและไม่ทำตามข้อตกลงล่ะก็ ข้าจะถลกหนังเจ้าทั้งเป็น” ไป๋หลิงซวงรู้สึกหนักอึ้งและเธอแทบจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีก

 

ในทุกๆก้าวที่เธอก้าวออกไป เธอรู้สึกว่าไหล่กำลังแบกรับน้ำหนักของภูเขาทั้งลูก เสื้อผ้าของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

 

ยิ่งคนๆหนึ่งอยู่บนในมิติที่บิดเบี้ยวนี้นานเท่าไหร่ พวกเขาก็จะได้รับผลจากมันมากขึ้นเท่านั้น

 

“ไอ้สารเลวไป๋อี้! ข้าจะฆ่าเจ้า” ไป๋หลิงซวงเริ่มที่จะล้มลงกับพื้น

“พี่สิบ นี่ข้ามาช้าเกินไปหรือเปล่า?”
แขนข้างหนึ่งปรากฏขึ้นและจับตัวของไป๋หลิงซวงเพื่อหยุดเธอจากการล้มลงไปบนพื้น

 

ไป๋หลิงซวงเงยหัวขึ้นมาและเห็นหานเซิ่นกำลังยิ้มให้กับเธอ เธอกัดริมฝีปากและพูด “ทำไมเจ้าถึงได้ชักช้านัก?”

 

“ถนนสายนี้มันยากลำบากกว่าที่คิด ทำให้ข้าล่าช้า ตอนนี้พวกเราไปกันเถอะ” หานเซิ่นพูดขณะที่เขาช่วยพยุงเธอขึ้นมา

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset