ไป๋หลิงซวงไม่ได้พูดอะไรและปล่อยให้หานเซิ่นอุ้มเธอขึ้นไปที่ยอดภูเขา จากมุมมองของเธอ มันดูเหมือนกับว่าหานเซิ่นกำลังเดินออกจากภูเขาไปสู่อากาศอันว่างเปล่า
แต่ในความจริงแล้วพวกเขายังคงอยู่บนบันได ที่ไป๋หลิงซวงคิดว่าพวกเขากำลังเดินออกไปสู่อากาศอันว่างเปล่านั่นก็เพราะมิติที่บิดเบือน
ขณะที่เดินขึ้นไป หานเซิ่นก็สังเกตเห็นไป๋เวย เธอกำลังเดินอยู่กับที่เช่นเดียวกับราชวงศ์คนอื่น
เนื่องจากเธอมาถึงที่หลังคนอื่น พลังของภูเขากระดูกเน่าจึงยังไม่ส่งผลต่อเธออย่างรุนแรงเหมือนกับคนอื่น แต่ความจริงที่ว่าเธอเดินได้รวดเร็วกว่าคนอื่นนั้นไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเธอไม่สามารถหาทางออกจากมิติที่บิดเบือนได้ การเดินต่อไปข้างหน้าเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์
“ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนเลว และเธอก็พยายามจะปกป้องเป่าเอ๋อ เธอมีเจตนาดี” หานเซิ่นถอนหายใจ เขาใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนอย่างลับๆและปล่อยพลังบางส่วนออกไปทางเธอ
ไป๋เวยพยายามเดินหน้าต่อไป แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามมากสักแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถหนีไปจากบันไดที่ดูไม่มีที่สิ้นสุดได้ ทันใดนั้นไป๋เวยก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังที่ซัดเข้ามาทางเธอ มันเป็นพลังที่อ่อนโยน
“นี่คือ…” ไป๋เวยรู้สึกประหลาด
มิติที่บิดเบี้ยวของภูเขากระดูกเน่าจะซ่อนคนของราชวงศ์จากกันและกัน ถึงแม้ราชวงศ์ 2 คนจะเดินอยู่เคียงข้างกัน แต่พวกเขาก็มองไม่เห็นกัน ถึงแม้พวกเขาจะสัมผัสกัน มันก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไร
ตอนนี้พลังประหลาดไหลลงมาจากขั้นบันไดที่อยู่ตรงหน้าไป๋เวย
หัวใจของไป๋เวยเต้นรัว เธอตามพลังประหลาดนั้นไป พลังประหลาดนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไล่ตามมันไป ไป๋เวยสังเกตเห็นว่าบันไดกำลังจะหายไปจากใต้เท้าของเธอ พลังประหลาดนั้นนำทางห่างไปจากขั้นบันไดและออกสู่ท้องฟ้า
เธอต้องรีบเคลื่อนไหวเพื่อตามพลังประหลาดให้ทัน ไป๋เวยกัดฟันและเดินออกจากขั้นบันได ร่างกายของเธอลอยจากภูเขาสู่อากาศอันว่างเปล่า แต่เท้าของเธอยังคงสัมผัสกับบางสิ่ง และเธอก็ก้าวต่อไปข้างหน้า
มันไม่มีเส้นทางอื่นให้เดินตามอีก ดังนั้นเธอจึงตามพลังนั้นต่อไป ถ้าเธอก้าวไปในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง เธอก็จะตกลงไปที่ภูเขาอีกครั้ง
บนภูเขากระดูกเน่านั้นแม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็บินไม่ได้ ซึ่งไป๋เวยเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง
ไป๋เวยจำเป็นต้องเดินตามพลังประหลาดที่กำลังนำทางไป เธอเร่งฝีเท้าขึ้นขณะที่ไล่ตามพลังนั้นไป
หานเซิ่นอุ้มไป๋หลิงซวงขึ้นมาจนถึงยอดเขา ที่นั่นเขาพบองค์ชายและองค์หญิงหลายคนที่ขึ้นมาถึงยอดเขาได้สำเร็จ
ไป๋ชิงเสียเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เขาประหลาดใจที่เห็นว่าหานเซิ่นมาพร้อมกับไป๋หลิงซวง
แต่หานเซิ่นได้วางไป๋หลิงซวงลงเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นนอกจากองค์ชายสี่และองค์หญิงสอง ไม่มีใครที่รู้ว่าหานเซิ่นอุ้มไป๋หลิงซวงขึ้นมาบนยอดเขา
“ดูเหมือนว่าข้าจะเป็นฝ่ายชนะ” ไป๋ชิงเสียพูดขณะที่จ้องไปที่หานเซิ่น เขาคิดว่าหานเซิ่นเพิ่งจะขึ้นมาถึงยอดเขา
องค์ชายและองค์หญิงคนอื่นๆก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เพราะยังไงซะมิติที่บิดเบือนก็ไม่ใช่ที่จะผ่านมาได้ด้วยความเร็วเพียงอย่างเดียว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะคิดว่าหานเซิ่นนั้นเพิ่งขึ้นมาถึงยอดเขา
ไป๋หลิงซวงเหงื่อท่วมตัว แต่เมื่อเธอเห็นตัวอักษรที่สลักอยู่บนโขดหิน เธอก็ตื่นตัวอย่างเต็มที่ เธอไม่ได้มีคิงอีซอักษรอาวหรือกู่ การขึ้นมาถึงยอดเขาจึงเป็นอะไรที่ยากเกินไปสำหรับเธอ ส่วนไป๋ชิงเสียได้รับอักษรอาว ดังนั้นมันเป็นอะไรที่ง่ายกว่ามากสำหรับเขาที่จะขึ้นมาถึงยอดเขา พละกำลังทางกายภาพนั้นไม่ได้สำคัญอะไรในการแข่งขันนี้
“นี่คือจิตแห่งดาบพราวด์โบนของดาบคลั่ง?” ไป๋หลิงซวงมองไปที่ตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้
“ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น” เธอดูดีใจอย่างมากขณะที่พึมพำกับตัวเอง
หานเซิ่นรู้สึกสับสน เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับกษัตริย์ที่มีสมญานามว่าดาบคลั่งมาก่อน มันมีกษัตริย์ที่มีสมญานามว่าดาบเทพหรือดาบศักดิ์สิทธิ์ แต่สมญานามว่าดาบคลั่งดูไม่ใช่สิ่งที่คู่ควรต่อกษัตริย์คนหนึ่ง
ไป๋ชิงเสียพูดต่อจากไป๋หลิงซวง “ดาบคลั่งนั้นเกิดมาพิการ เขาไม่ได้มีร่างกายแห่งราชัน และนั่นทำให้เขาถูกคนอื่นรังแก แต่ที่สุดแล้วเขาใช้ดาบของเขาเพื่อกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้สำเร็จ ถึงเขาจะไม่มีร่างกายแห่งราชัน แต่เขาก็เอาชนะเอ็กซ์ตรีมคิงคนอื่น แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่มีร่างกายแห่งราชันก็พ่ายแพ้ต่อดาบของเขา เขาไม่ได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองของพวกเรา แต่ในหมู่เอ็กซ์ตรีมคิงเขาถูกเรียกว่ากษัตริย์ไร้มงกุฎ เผ่าพันธุ์ของพวกเรามีนักดาบมากมาย แต่ไม่มีใครคนไหนที่คู่ควรต่อการยกย่องเหมือนอย่างดาบคลั่ง”
หานเซิ่นครุ่นคิดกับตัวเอง ‘ไม่รู้เลยว่าเอ็กซ์ตรีมคิงมีคนที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นอยู่ด้วย ทำไมเราถึงไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อนเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้?’
เมื่อไป๋ชิงเสียพูดจบ องค์หญิงคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลก็มองมาที่เขาด้วยความดูถูก
“พลังของดาบคลั่งไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ว่าชื่อเสียงมากขนาดไหนก็ชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปไม่ได้ เขาไม่คู่ควรต่อการถูกยกย่องสรรเสริญ”
ไป๋ชิงเสียและไป๋หลิงซวงขมวดคิ้วใส่องค์หญิงคนนั้น หลังจากที่เห็นหน้าของพวกเขา เธอก็หันหน้าหนีไป
หานเซิ่นไม่ได้สนใจในตัวองค์หญิงคนนั้นเช่นกัน เขาต้องการจะฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของดาบคลั่ง มันเห็นได้ชัดว่าดาบคลั่งนั้นแตกต่างไปจากเอ็กซ์ตรีมคิงคนอื่น แม้แต่สมญานามของเขาก็ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ห้ามพูดถึง
ถ้าหานเซิ่นเป็นไป๋อี้จริงๆ เขาก็ต้องรู้เกี่ยวกับดาบคลั่งบ้างแล้ว ดังนั้นเขาไม่สามารถถามใครได้
ทันใดนั้นก็มีใครคนหนึ่งเดินขึ้นมาถึงยอดเขา คนๆนั้นก็คือไป๋เวย ชุดของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายของเธอสั่นรัวและเธอแทบยืนไม่ไหว มันเห็นได้ชัดว่าเธอต้องต่อสู้อย่างหนักกว่าจะมาถึงที่นี่ได้
ถึงแม้หานเซิ่นจะใช้พลังเพื่อนำทางเธอ แต่เธอก็ยังคงอ่อนแอเกินไป ถึงเธอจะรู้หนทางที่จะมาถึงยอดเขาแต่มันก็เป็นอะไรที่ยากอย่างที่สุด
ราชวงศ์หลายคนดูตกตะลึง เมื่อพวกเขาเห็นไป๋เวยขึ้นมาถึงยอดเขาได้สำเร็จ ในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของเอ็กซ์ตรีมคิง มีดยุกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มาถึงจุดนี้ได้
ไป๋เวยมองไปที่เหล่าองค์ชายและองค์หญิง เธออยากจะรู้ว่าใครกันที่ทิ้งพลังนั้นเอาไว้เบื้องหลังเพื่อนำทางให้กับเธอ แต่เธอไม่สามารถรู้ความจริงได้
แต่เมื่อเธอมองไปที่หานเซิ่น อารมณ์ที่ดีใจของเธอก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เธอกัดฟันขณะที่จ้องไปที่เขา
เธอยังคงขมขื่นกับความจริงที่ว่าไป๋อี้ฆ่าหานเซิ่น ความคิดที่ว่าพลังนั้นอาจจะเป็นของเขาไม่เคยผุดขึ้นมาในหัวของเธอ
ไป๋เวยมองไปรอบๆต่อ แต่เธอยังคงไม่สามารถบอกได้ว่าใครกันแน่ที่ทิ้งพลังนั้นเอาไว้ ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกขอบคุณจากใจจริง เธอเดินไปหาโขดหินเพื่อที่มองดูตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้
ไป๋หลิงซวงและคนอื่นๆก็มองไปยังตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้เช่นกัน จิตแห่งดาบพราวด์โบนของดาบคลั่งเป็นอะไรที่มีประโยชน์มากๆ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ค่อยชอบในตัวของดาบคลั่งเท่าไหร่นัก แต่พวกเขาก็ยังคงพยายามเรียนรู้จากจิตแห่งดาบของดาบคลั่งอยู่ดี
หานเซิ่นหาที่นั่งเหมาะๆ เขาต้องการจะมองดูจิตแห่งดาบจากตำแหน่งที่สบายที่สุด แต่มันไม่มีอะไรอย่างอื่นให้เขาทำนอกจากนั้น
มันไม่ใช่ว่าหานเซิ่นขาดพรสวรรค์หรือฝึกฝนไม่เพียงพอ แต่จิตแห่งดาบของดาบคลั่งขัดแย้งกับจิตแห่งดาบของหานเซิ่นเอง พวกมันเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกัน มันไม่มีอะไรที่คล้ายคลึงหรือเข้าคู่กันได้ ยิ่งจิตแห่งดาบของหานเซิ่นแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเข้าใจจิตแห่งดาบพราวด์โบนของดาบคลั่งได้ยากเท่านั้น