หานเซิ่นมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างจากคนที่คิดค้นจิตแห่งดาบพราวด์โบนนี้ขึ้นมา พวกเขาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หานเซิ่นพบว่ามันเป็นอะไรที่ยากลำบากอย่างมากในการจะเข้าใจจิตแห่งดาบพราวด์โบน
ชื่อ‘ดาบคลั่ง’และ‘พราวด์โบน’บอกถึงลักษณะนิสัยของชายคนนั้นได้เป็นอย่างดี เขาเป็นคนที่ภาคภูมิและบ้าคลั่ง วิธีการเผชิญหน้ากับปัญหาและการแก้ปัญหาของเขานั้นแตกต่างไปจากของหานเซิ่น
จิตแห่งดาบของหานเซิ่นมีรากฐานจากทิฐิ ไม่สำคัญว่าหานเซิ่นจะทำอะไร ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องเล็กน้อย เขาก็จะทำสิ่งที่เริ่มต้นขึ้นจนเสร็จสิ้น ปณิธานของเขาเป็นสิ่งที่นำพาเขาไปข้างหน้า แต่บางครั้งเขาก็สนใจกับจุดหมายมากเกินไปจนพลาดวิวระหว่างทางไป
ตราบใดที่ไปถึงจุดหมาย หานเซิ่นยินดีที่จะเดินบนเส้นทางไหนๆก็ตามที่ไปถึงปลายทาง ลักษณะนิสัยนี้บางครั้งทำให้เขาดูขาดความตั้งใจและความใส่ใจ เขาเป็นคนที่เปลี่ยนแผนอะไรง่ายๆราวกับว่ามันไม่มีอะไรที่สำคัญสำหรับเขาจริงๆ แต่ความจริงแล้วหานเซิ่นไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเอง เขาแค่ยินดีที่จะปรับเปลี่ยนแผนเพื่อให้สำเร็จเป้าหมายนั้น
หานเซิ่นดูเหมือนคนที่ไม่ค่อยสนใจอะไร จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่หัวแข็งกว่าคนส่วนใหญ่ แต่สิ่งที่เขาหัวแข็งอยู่ไกลไปในอนาคนที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นมันได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คนอื่นคิดว่าเขาไม่ค่อยแสดงความสนใจสิ่งรอบๆตัวของเขา
ส่วนดาบคลั่งนั้นต่างออกไป ดาบคลั่งไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับจุดหมายปลายทาง เขาสนใจกับประสบการณ์ระหว่างทางมากกว่า แต่ที่น่าตลกก็คือตัวเขาเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และสะดุดตาที่สุดบนเส้นทางที่เขาเดินทาง
2 บุคลิกและ 2 ชีวิตที่แตกต่าง มันไม่มีใครคนไหนที่ถูกหรือผิด พวกมันเป็นเพียงแค่การตัดสินใจของคนนั้นๆ ถ้าหานเซิ่นต้องการจะเรียนรู้จิตแห่งดาบพราวด์โบนของดาบคลั่ง เขาก็ต้องละทิ้งศรัทธาและเจตจำนงของตัวเองไป หานเซิ่นสามารถทำแบบนั้นได้ แต่เขาไม่ต้องการจะทำ
ถึงแม้มันจะมีความแตกต่างที่กว้างใหญ่ระหว่างพวกเขา หานเซิ่นก็ยังอยากจะได้รับบางสิ่งจากจิตแห่งดาบ แต่มันเป็นเรื่องยากกว่าสำหรับเขา เพราะคนอื่นๆสามารถยอมรับจิตแห่งดาบของดาบคลั่งได้
ครั้งวันผ่านไปและจิตแห่งดาบของราชวงศ์หลายคนก็เริ่มจะสะท้อนอักษร‘ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น’ ที่ถูกสลักเอาไว้ พวกเขาก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก
คนที่ก้าวหน้าที่สุดก็คือไป๋หลิงซวง จิตแห่งดาบของเธอเชื่อมต่อกับอักษรที่ถูกสลักเอาไว้ จิตแห่งดาบนั้นเข้าไปในร่างกายของเธอและพลังของมันก็นำความทะนงตัวออกมา
หานเซิ่นประหลาดใจ ไป๋หลิงซวงมีพรสวรรค์ แต่เธอไม่ใช่คนที่เก่งกาจที่สุดที่ขึ้นมาถึงยอดเขาได้ ที่เธอก้าวหน้ากว่าคนอื่นเป็นเพราะบุคลิกภาพของเธอเข้ากันได้ดีกับจิตแห่งดาบพราวด์โบน
‘ดูเหมือนว่าเราจะเสียเวลาเปล่า’ หานเซิ่นถอนหายใจ เขาไม่สามารถยอมรับจิตแห่งดาบพราวด์โบนได้
มันเป็นเหมือนกับการที่คนที่ขี้เกียจไม่สามารถเข้าใจคนที่ขยันได้ พวกเขาแตกต่างกันเกินไปถึงขนาดที่พวกเขาไม่มีวันเป็นเหมือนกันได้
ในที่สุดแล้วหานเซิ่นก็ล้มเลิกความคิดที่จะพยายามเรียนรู้จากจิตแห่งดาบพราวด์โบน ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งสักแค่นั้น มันไม่ก็เข้ากันกับลักษณะนิสัยของเขา
แต่หานเซิ่นต้องพาไป๋หลิงซวงกลับลงไป การรอคอยเธอเป็นอะไรที่น่าเบื่อ และเขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างรวดเร็วขณะที่นั่งอยู่เฉยๆไม่ได้ทำอะไร เขาเริ่มจะนั่งเล่นกับน้ำเต้าหยกและเรียกแฟรี่น้ำออกมา
หานเซิ่นตั้งใจจะให้แฟรี่น้ำนวดให้กับเขาเพื่อผ่อนคลายระหว่างรอไป๋หลิงซวง แต่เมื่อแฟรี่น้ำออกมาจากน้ำเต้า เธอก็มองตรงไปที่ตัวอักษร เธอยืนอยู่กับที่อย่างไร้ความเคลื่อนไหว
ในจังหวะที่หานเซิ่นสังเกตเห็นพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของแฟรี่น้ำ ร่างกายของแฟรี่น้ำก็เริ่มเปลี่ยนไป ของเหลวในร่างโปร่งใสของเธอหมุนวนอย่างช้าๆและเปลี่ยนไปในรูปแบบที่เกือบจะมองไม่เห็น
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับรูปลักษณ์ภายนอกของแฟรี่น้ำนั้นเล็กน้อยมากๆ แต่เมื่อเขามองแฟรี่น้ำอีกครั้ง เธอดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แม้แต่พลังของเธอก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
แต่เดิมแฟรี่น้ำดูอ่อนโยนราวกับน้ำ เธอจะฟังคำขอของคนอื่นโดยที่ไม่ลำบากใจเหมือนกับสาวใช้
แต่หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ แฟรี่น้ำก็ดูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ร่างกายทั้งร่างของเธอเป็นเหมือนกับดาบที่คมและทรงพลัง
หานเซิ่นมองไปที่แฟรี่น้ำและคิดว่าพลังของเธอดูค่อนข้างคุ้นเคย
“ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น” หานเซิ่นพึมพำกับตัวเอง เขารู้สึกตัวว่าทำไมตอนนี้เธอถึงได้ดูคุ้นเคย มันเป็นเพราะพลังใหม่ของแฟรี่น้ำทำให้เขานึกถึงตัวอักษรที่ถูกสลักอยู่บนโขนหิน จิตแห่งดาบพราวด์โบนนั้นแผ่รัศมีออกมาจากตัวเธอ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หานเซิ่นรู้สึกสงสัย
ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ที่เขาค้นพบแฟรี่น้ำ หานเซิ่นยังไม่สามารถหาได้ว่าแฟรี่น้ำสามารถทำอะไรได้กันแน่ โดยปกติเขาใช้เธอเหมือนกับสายใช้คนหนึ่ง แต่ตอนนี้เธอดูเหมือนจะมีพลังที่อยู่เหนือจินตนาการของเขา
การเปลี่ยนแปลงของแฟรี่น้ำยังคงดำเนินต่อไป ยิ่งการเปลี่ยนแปลงของเธอมองออกยากเท่าไหร่ พลังของเธอก็เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นเท่านั้น และไม่นานหลังจากนั้นเมื่อหานเซิ่นมองไปที่แฟรี่น้ำอีกครั้ง เธอก็กลายเป็นบุคคลที่คู่ควรกับอักษรที่ว่า ‘ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น’ เธอดูเหมือนกับจิตแห่งดาบพราวด์โบนไม่มีผิด มันเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ
โชดดีที่หานเซิ่นนั่งอยู่ด้านหลังราชวงศ์คนอื่น และพวกเขาก็กำลังใช้สมาธิไปกับการเรียนรู้จิตแห่งดาบ ถ้าพวกเขาได้มาเห็นการเปลี่ยนแปลงของแฟรี่น้ำล่ะก็ พวกเขาก็คงจะตกตะลึง
จิตแห่งดาบเป็นบางสิ่งที่ไม่มีตัวตนและรู้สึกได้เท่านั้น มันไม่ได้เหมือนกับวิชาจีโนหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
มันไม่สามารถแม้แต่จะวาดหรือถ่ายภาพ มันเป็นความรู้สึกที่ต้องรู้สึกจากภายใน มันไม่สามารถลอกเลียนได้ด้วยเครื่องมือไหนๆ
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างแฟรี่น้ำทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เธอลอกเลียนอักษรที่ถูกสลักเอาไว้และเปลี่ยนเป็นตัวตนของจิตแห่งดาบพราวด์โบน ถ้ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนหนึ่งได้มาเห็นสิ่งที่เธอทำ พวกเขาก็จะมีปฏิกิริยาแบบเดียวกันกับหานเซิ่น
หลังจากนั้นอีกสักพักการเปลี่ยนแปลงของแฟรี่น้ำก็เสร็จสิ้น พลังและจิตแห่งดาบของเธอเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ มันกลายเป็นจิตแห่งดาบพราวด์โบน
“สมบูรณ์แบบ! สมบูรณ์แบบ!” หานเซิ่นรู้สึกชื่นชม แฟรี่น้ำลอกเลียนแบบพลังนั้นได้อย่างไร้ที่ติ หานเซิ่นไม่เคยได้ยินถึงการมีอยู่ของสมบัติที่ทำอะไรแบบนี้ได้มาก่อน
ขณะที่หานเซิ่นกำลังคิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้น้ำเต้าหยกและแฟรี่น้ำมา จู่ๆแฟรี่น้ำก็ขยับเข้ามาหาเขา เธอวางมือลงบนอกของหานเซิ่นและร่างน้ำของเธอก็ผสานกับร่างกายของเขา
“นี่คืออะไร?” หานเซิ่นสงสัย แต่หลังจากนั้นจู่ๆก็มีจิตแห่งดาบไหลเข้ามาในร่างกายของเขา เขาจำได้ในทันทีว่ามันคือจิตแห่งดาบพราวด์โบน
หานเซิ่นรู้สึกตัวว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น แฟรี่น้ำไม่ใช่แค่ลอกเลียนจิตแห่งดาบเท่านั้น เธอยังมอบจิตแห่งดาบนั้นให้กับเจ้าของน้ำเต้าหยก
จิตแห่งดาบนั้นอาจจะไม่เข้ากันกับหานเซิ่น แต่ตอนนี้มันฝังลึกในจิตใจของเขา แทนที่จะเป็นจิตแห่งดาบที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ตอนนี้หานเซิ่นสามารถสัมผัสมันได้ในทุกมุมมอง มันไม่มีวิธีการเรียนรู้ที่ดีกว่าการมีประสบการณ์ด้วยตัวเอง
การสัมผัสด้วยตัวเองเป็นอะไรที่ดีกว่าการศึกษาจากตำรา แฟรี่น้ำสามารถนำไอเดียที่เป็นนามธรรม และทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่เป็นจริงและสัมผัสได้
‘ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสมบัติของอัลฟ่าคนนั้นจะสุดยอดถึงขนาดนี้ มันเกือบจะเป็นอะไรที่ทรงพลังเกินไป’ หานเซิ่นคิดขณะที่ยิ้มกว้างออกมา