เป็นอย่างที่หานเซิ่นคาดเดาเอาไว้ ถ้าพระเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังเหตุและผลจริง แบบนั้นเขาก็สามารถกลับตาลปัตรความสัมพันธ์ของเหตุและผลได้
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคนๆหนึ่งอธิฐานขอเงินหนึ่งล้านดอลลาร์ โดยปกติแล้วคนนั้นจะต้องทำงานเป็นสิบปีเพื่อให้ได้รับเงินมากขนาดนั้น แต่ด้วยการกลับตาลปัตรความสัมพันธ์ของเหตุและผล พระเจ้าจะมอบเงินหนึ่งล้านให้กับคนๆนั้นในทันที หลังจากนั้นคนๆนั้นก็ค่อยทำงานเพื่อจ่ายมันคืน
ถ้าใครคนหนึ่งอธิษฐานในสิ่งที่มากกว่าที่พวกเขาจะจ่ายคืนได้ แบบนั้นมันก็จะทำลายความสัมพันธ์ของเหตุและผล ซึ่งจะก่อให้เกิดความไม่สมดุลภายในพลังเหตุและผล มันยากที่จะจินตนาการได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
‘ถ้าแนวคิดนี้ถูกต้อง การอธิษฐานก็เป็นเหมือนค่าแรงล่วงหน้า ถ้าคำอธิษฐานของเราเป็นบางสิ่งที่เราจ่ายคืนได้ แบบนั้นเราก็อาจจะไม่เจ็บตัว หรืออย่างน้อยๆเราก็จะเจ็บตัวน้อยกว่า เหมือนอย่างหานจิงจือ เขาขอคำอธิษฐาน แต่คำอธิษฐานที่เขาขอไม่ได้ย้อนกลับมาหาเขา’ หานเซิ่นคิด
ชายคนนั้นยิ้ม “เจ้าชาญฉลาด เจ้าเข้าใจถึงความหมายเบื้องหลังของคำอธิษฐาน ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำการขอคำอธิษฐานได้อย่างถูกต้อง”
หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘เอ็กซ์ตรีมคิงหลายคนเข้ามาในหอคอยแห่งโชคชะตา และชีวิตของพวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่ได้ประสบกับเคราะห์ร้ายอะไร พวกเขาคงจะเข้าใจถึงความหมายภายใต้คำพูดของชายคนนี้ แต่มันเป็นความจริงอย่างนั้นหรอที่ไม่มีใครเลยที่จะโลภมากและขอคำอธิษฐานในสิ่งที่เกินกว่าที่ตัวเองจะทำได้น่ะ?’
หานเซิ่นไม่รู้ว่าชายคนนี้ใช่คนเดียวกับที่ทีมเจ็ดพบหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะเป็นคนเดียวกันหรือไม่ หานเซิ่นก็เชื่อว่ามันมีบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับข้อเสนอนี้ แต่เขายังไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไรกันแน่
เมื่อหานเซิ่นไม่พูดอะไร ชายคนนั้นก็พูดต่อ “หนุ่มน้อย อธิษฐานในสิ่งที่เจ้าทำได้ และมันจะไม่ทำร้ายเจ้า”
วิธีการพูดแบบนี้ของอีกฝ่ายทำให้หานเซิ่นต้องขมวดคิ้ว
‘เดี๋ยวก่อนนะ เราลืมคำนึงถึงมุมมองของอีกฝ่ายไปซะสนิทเลย เขาไม่มีทางช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล ทำไมเขาถึงได้ยินดีที่จะทำให้คำอธิษฐานของคนอื่นเป็นจริงขึ้นมา? หรือว่าบางทีการอธิษฐานนี้จะไม่ได้เป็นแค่การจ่ายค่าแรงล่วงหน้า แต่เป็นเงินกู้ที่มีดอกเบี้ย? เขาอาจจะเป็นผู้ปล่อยกู้ที่คิดดอกเบี้ยสูง!’ ความคิดนั้นทำให้หานเซิ่นรู้สึกหนาวขึ้นมา
อย่างไม่ต้องสงสัย ชายคนนี้ต้องได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากคำอธิษฐานที่ถูกขอ มันไม่มีทางที่เขาจะนั่งอยู่ที่นี่และเนรมิตคำอธิษฐานของคนอื่นให้เป็นจริงจากความเมตตา ผลประโยชน์นั่นอาจจะเป็นดอกเบี้ยที่เขาเรียกเก็บจากผู้ขอคำอธิษฐานแต่ละคน
ยิ่งคำอธิษฐานใหญ่โตมากเท่าไหร่ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็จะมากขึ้นเท่านั้น และนั่นก็หมายความว่าชายคนนี้จะได้รับผลประโยชน์มากขึ้นตามไปด้วย
ขณะที่หานเซิ่นคำนึงถึงความเป็นไปได้นี้ เขาก็รู้สึกเชื่อมั่นว่าความคิดของตัวเองถูกต้อง เขาอาจจะไม่รู้ถึงกระบวนการขอคำอธิษฐานนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ชายคนนี้ไม่ใช่ผู้มีเมตตาที่จะเนรมิตความฝันให้เป็นจริงแน่ๆ เขาเป็นเหมือนกับแวมไพร์มากกว่า
ถ้าการคาดเดานี้ถูกต้องล่ะก็ ไม่ว่าเขาจะอธิษฐานอะไรออกไป เขาก็ยังคงต้องสูญเสียบางสิ่งอยู่ดี
แต่มันเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจในเงินทอง หานเซิ่นคิดไม่ออกว่าอีกฝ่ายต้องการเก็บดอกเบี้ยในรูปแบบไหนกันแน่
“ข้ายังไม่รู้ว่าจะขออะไร ข้าขอไปเดินดูรูปภาพพวกนั้นได้ไหม?” หานเซิ่นพูดขณะที่มองไปที่ชายคนนั้น
“ได้ เจ้าควรจะคิดเกี่ยวกับมันดีๆ เจ้ามีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” ชายคนนั้นยิ้มอย่างเป็นกำลังใจให้เขา
หานเซิ่นเดินลงจากชั้นที่ 7 ของหอคอยแห่งโชคชะตา ขณะที่เดินลงมา เขาก็ครุ่นคิดกับตัวเอง ‘จากที่เราเห็นมา พลังของเขาต้องมีข้อจำกัดอยู่ เขาทำลายคนที่ขอคำอธิษฐานโดยตรงไม่ได้ และเขาก็ทำร้ายสิ่งมีชีวิตของจักรวาลนี้ไม่ได้ และดูเหมือนว่าเขาจะโกหกไม่ได้ด้วย’
‘กฎที่ห้ามการใช้กำลังและความเท็จ ทั้งหมดนี่ฟังดูเหมือนกับกฎระเบียบหรือกฎหมายที่เคร่งครัด ถึงแม้พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงกฎไม่ได้ แต่พวกเขาก็ยินดีที่จะใช้คำพูดเพื่อชักจูง นั่นคือวิธีการที่พวกเขาใช้หลอกผู้คน’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ที่สุดแล้วเขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่ได้มาที่นี่
หานเซิ่นตกลงจะขอคำอธิษฐานก็เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการขอคำอธิษฐานจากสิ่งมีชีวิตที่กล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า ตอนนี้เขาเริ่มจะเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทฤษฎีของเขาไม่ได้แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้เขาก็เข้าใจมันได้ดีกว่าเมื่อก่อนที่ไม่รู้อะไรเลย
ในการจะเอาชนะศัตรู ก่อนอื่นเขาก็ต้องเข้าใจศัตรูซะก่อน
ตอนนี้หานเซิ่นตกลงจะขอคำอธิษฐานไปแล้ว และเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน แต่เขาก็ยังคิดว่านี่เป็นอะไรที่คุ้มค่า อย่างน้อยเขาก็ได้เข้าใจถึงสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้า
ตอนนี้สิ่งที่หานเซิ่นจำเป็นต้องทำก็คือหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยที่ต้องติดค้างอีกฝ่าย เมื่อเขาทำการขอคำอธิษฐาน
จากทฤษฎี ยิ่งอธิษฐานขอสิ่งที่เล็กน้อยมากเท่าไหร่ ราคาที่ต้องจ่ายคืนก็จะน้อยลงเท่านั้น นั่นหมายความว่าดอกเบี้ยก็จะน้อยลงไปด้วย
แต่หานเซิ่นไม่รู้ว่าเกณฑ์ที่ใช้วัดความมากน้อยของคำอธิษฐานคืออะไรกันแน่ เขาจะรู้ได้ยังไงว่าคำอธิษฐานไหนเป็นอะไรที่ใหญ่หรือเล็ก?
ยกตัวอย่างเช่น หานเซิ่นอาจจะขอหนึ่งดอลลาร์ นั่นถือเป็นเงินจำนวนน้อยนิด และตามทฤษฎีแล้วคำอธิษฐานของเขาก็ควรจะมีดอกเบี้ยที่น้อยตามไปด้วย เพราะหนึ่งดอลลาร์เป็นอะไรที่จ่ายคืนได้ง่าย
แต่ชายที่กล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าไม่ได้เล่นตามกฎของเงิน เขาเล่นตามกฎของเหตุและผล
ถ้าหานเซิ่นต้องการหนึ่งดอลลาร์ หนึ่งดอลลาร์อาจจะมาจากลูกชายของยอดฝีมือที่น่ากลัว ซึ่งในที่สุดเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่น่ากลัวคนนั้น
คำอธิษฐานที่ถูกทำให้เป็นจริงโดยพลังเหตุและผลนั้นแม้แต่คำอธิษฐานที่ดูเล็กน้อยก็อาจจะกลายเป็นอะไรที่อันตรายอย่างมาก และไม่ว่าผลที่ตามมาจะคืออะไร หานเซิ่นก็ต้องจ่ายคืนให้กับอีกฝ่าย
และคนที่เป็นคนตัดสินใจในเรื่องนั้นก็คือชายที่อ้างตัวเป็นพระเจ้า
‘มันเป็นเรื่องยากที่จะต่อต้านพระเจ้า ทีมเจ็ดมีคนเก่งอยู่มากมาย แต่แล้วพวกเขาทุกคนก็ตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ดูเหมือนว่าการที่กู่ชิงเฉิงไม่ขอคำอธิษฐานจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
‘หานจิงจือขอคำอธิษฐานแบบไหนกัน ทำไมเขาถึงหลีกเลี่ยงกับดักที่ถูกวางเอาไว้ได้?’
หานเซิ่นไม่เข้าใจ แต่เขาจำเป็นต้องหาหนทางที่จะลดความเสี่ยงและขอคำอธิษฐานที่จะทำให้เขาสูญเสียน้อยที่สุด
มันมีอีกอย่างหนึ่งที่หานเซิ่นพบว่ามันน่าสงสัย
มันคือความจริงที่ว่ามีเอ็กซ์ตรีมคิงหลายคนเข้ามาในหอคอย แต่แล้วพวกเขาทุกคนกับไม่เป็นอะไรเลย บางทีชายที่อ้างตัวเป็นพระเจ้านี้อาจจะเป็นเจ้าหนี้ที่เรียกเก็บดอกเบี้ยทีละนิดทีละหน่อย
แต่หานเซิ่นไม่คิดว่านั่นจะเป็นไปได้ เพราะยังไงซะแวมไพร์ทุกตัวก็ดื่มเลือดเหมือนกันหมด
‘อะไรกันที่ป้องกันเหล่าเอ็กซ์ตรีมคิงจากการถูกทำลายโดยคำอธิษฐานกัน?’ หานเซิ่นครุ่นคิดขณะที่เดินมองภาพบนกำแพงไปเรื่อยๆ