หานเซิ่นไม่รู้ว่าตัวเองติดอาการประหลาดที่น่าขนลุกนี้ตั้งแต่เมื่อไร จนกระทั่งคุณหญิงมิร์เรอร์บอกเขา หานเซิ่นไม่ได้รู้สึกตัวถึงพลังประหลาดที่แทรกซึมเข้ามาในร่างกายและส่งผลต่อดวงตาของเขาเลยสักนิดเดียว
คุณหญิงมิร์เรอร์และไนท์วินด์จ้องมองหานเซิ่นด้วยความประหลาดใจ หานเซิ่นไม่เคยไปที่เส้นทางหิน และเขาก็ไม่เคยเห็นรูปปั้นนั่นด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้มันปฏิเสธไม่ได้ว่าดวงตาแต่ละดวงของเขามี 2 รูม่านตาสีแดงจริงๆ นั่นหมายความว่าอาการประหลาดนี้เป็นโรคติดต่อ
ถ้ามันเป็นโรคติดต่อจริงๆ นั่นก็หมายความว่าทุกคนในค่ายนั้นจบสิ้นแล้ว แม้แต่กำลังเสริมที่กำลังเดินทางมาก็ต้องมาเสี่ยงไปด้วย
หานเซิ่นตอบสนองในทันที เขาหันกลับและวิ่งออกไปข้างนอก หลังจากนั้นเขาก็คว้าตัวยามเฝ้าประตูที่อยู่ด้านนอกและมองลึกไปในดวงตาของชายคนนั้น
ยามเฝ้าประตูนั้นกำลังจะสลัดหานเซิ่นออกไป แต่คุณหญิงมิร์เรอร์และไนท์วินด์มาหยุดเขาเอาไว้
“รูม่านตาของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลง” หานเซิ่นมองไปในดวงตาของยามคนอื่นอีกหลายคน แต่ดวงตาของพวกเขาเป็นปกติดี
วินาทีต่อมา หานเซิ่นก็นำโทรศัพท์ของเขาออกมาและโทรไปหาฟอลลิ่งลีฟ เมื่อฟอลลิ่งลีฟรับสาย เธอก็ตอบรับแค่วอยซ์คอล ดังนั้นมันจึงไม่มีภาพ
“ฟอลลิ่งลีฟ เป่าเอ๋ออยู่ใกล้ๆไหม?” หานเซิ่นถาม
“อยู่” ฟอลลิ่งลีฟตอบ
“เปิดวิดีโอคอล” หานเซิ่นพูด
“มีเรื่องอะไร?” ฟอลลิ่งลีฟถามโดยที่ไม่เปิดวิดีโอคอล
“แค่ทำตามที่เขาสั่งก็พอ” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“ทราบแล้ว” ฟอลลิ่งลีฟตอบ เธอเปิดวิดีโอคอลและภาพของเธอก็ปรากฏบนหน้าจอของหานเซิ่น
ผมของฟอลลิ่งลีฟนั้นยุ่งเหยิงและชุดของเธอก็ถูกปลดกระดุม หานเซิ่นไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่กับเป่าเอ๋อ
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ หานเซิ่นจ้องไปในดวงตาของเธอและสังเกตเห็นว่าพวกมันปกติดี นั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
“พ่อ!” เป่าเอ๋อกำลังนั่งอยู่บนโซฟาขณะที่ถือลูกเต๋าอยู่ในมือ เสียงของเธอฟังดูอ่อนหวานขณะที่เธอเรียกหาหานเซิ่น
ดวงตาของเป่าเอ๋อดูปกติดี นั่นทำให้เขารู้สึกโล่งใจยิ่งกว่าเดิม
“เป่าเอ๋อ หนูอยู่ในห้องและเล่นกับพี่ฟอลลิ่งลีฟไปนะ อย่าได้ออกไปไหนและรอพ่ออยู่ที่นั่นเข้าใจนะ?”
“เข้าใจแล้ว” เป่าเอ๋อพยักหน้า
หานเซิ่นหันความสนใจกลับมาที่ฟอลลิ่งลีฟ “ฟอลลิ่งลีฟ เธอปิดประตูให้สนิทและอย่าออกไปไหนเป็นอันขาด และอย่าก็ให้ใครคนอื่นนอกจากข้าเข้าไปข้างในเช่นกัน”
ฟอลลิ่งลีฟไม่ตอบ เธอมองไปที่คุณหญิงมิร์เรอร์ที่ยืนอยู่ถัดไปจากหานเซิ่น
“ทำตามที่เขาบอก” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“ทราบแล้ว” ฟอลลิ่งลีฟพยักหน้า
หานเซิ่นวางสายและหันมาพูดกับคุณหญิงมิร์เรอร์ “พวกเราควรหาใครสักคนที่ดวงตายังเป็นปกติมาทำการทดสอบ”
คุณหญิงมิร์เรอร์หันไปมองไนท์วินด์ และไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ปรากฏตัวในห้องทำงานอีกครั้งพร้อมกับคน 2 คนที่หานเซิ่นใช้ทำการทดลอง หนึ่งในพวกเขาคือหนิงเยวี่ยและอีกคนคือผู้ชายที่เขาจับคู่ด้วย
เนื่องจากหนิงเยวี่ยอยู่ไกลจากโกดังมากที่สุด เขาและคู่ของเขาจึงเป็นบุคคลแรกที่ไนท์วินด์หาตัวเจอ
“รออยู่ข้างนอก” หานเซิ่นผลักหนิงเยวี่ยออกไปจากห้องทำงานของคุณหญิงมิร์เรอร์และปิดประตู เขาพาตัวคนงานอีกคนมาหน้าคอมพิวเตอร์และเริ่มเล่นวิดีโออีกครั้ง เขาทำให้แน่ใจว่าคนงานคนนั้นดูตั้งแต่ต้นจนจบ
หานเซิ่น คุณหญิงมิร์เรอร์และไนท์วินด์จ้องไปในดวงตาของคนงานคนนั้น หลังจากที่คนงานเห็นรูปปั้นที่มีดวงตาและแขนนับพัน รูม่านตาของคนงานก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ไม่กี่วินาทีต่อมาสีก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นสีแดงบริสุทธิ์ หลังจากนั้นรูม่านตาก็เริ่มแยกออก และไม่กี่นาทีดวงตาของคนงานคนนั้นก็เป็นเหมือนกับของหานเซิ่น
หานเซิ่นไม่จำเป็นต้องพูดอะไร พวกเขาทั้งหมดเข้าใจความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแค่มองดูวิดีโอที่บันทึกภาพของรูปปั้นนั้นเอาไว้ก็ทำให้พวกเขาได้รับคำสาปนี้
หานเซิ่นเปิดประตูและให้หนิงเยวี่ยเข้ามาในห้อง ดวงตาของเขายังคงปกติดี
“ไม่ว่าคนๆนั้นจะเห็นรูปปั้นในรูปแบบไหน เขาก็จะได้รับผลจากพลังของมัน”
หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาลองใช้พลังหลายๆอย่างเพื่อหาสิ่งผิดปกติกับดวงตาของตัวเองและหาความจริงว่าทำไมพวกมันถึงเกิดความเปลี่ยนแปลง แต่เท่าที่หานเซิ่นสัมผัสได้ ดวงตาของเขานั้นดูปกติดี พวกมันดูจะไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังประหลาดอะไร
แม้แต่ศาสตร์ตงเสวียนก็ไม่สามารถระบุถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับดวงตาของเขาได้ มันเหมือนกับว่าดวงตาของเขายังคงปกติดี
แต่หานเซิ่นสัมผัสได้ถึงความอยากที่คุณหญิงมิร์เรอร์พูดถึง จู่ๆเขาก็รู้สึกอยากจะไปที่ทุ่งหิน มันเหมือนกับนักสูบที่ไม่ได้สูบบุหรี่ทั้งวันจึงอยากจะออกไปเพื่อซื้อบุหรี่มาสักซองหนึ่ง
โชคดีที่หานเซิ่นมีจิตใจที่เข็มแข็ง เขาทนต่อแรงกระตุ้นนั้นได้ ถ้าจิตใจของเขาอ่อนแอล่ะก็ เขาก็คงจะวิ่งไปที่ทุ่งหินเรียบร้อยแล้ว
คนงานคนนั้นกรีดร้องออกมา ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง และเขาก็เริ่มจะหายใจพะงาบๆ หลังจากนั้นเขาก็รีบวิ่งออกไป
ไนท์วินด์จับตัวของเขาเอาไว้และกดเขาลงกับพื้น หลังจากนั้นไนท์วินด์ก็ใช้โซ่สสารล็อคเขาเอาไว้กับที่
คนงานคนนั้นพยายามดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของเขาชักกระตุกราวกับคนติดยา น้ำตาและน้ำมูกเริ่มไหลลงบนพื้น
“พวกเราควรจะทำยังไงกันดี?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่คุณหญิงมิร์เรอร์และไนท์วินด์
สถานการณ์นั้นดูเลวร้ายอย่างมาก และนี่ไม่ใช่บางสิ่งที่พวกเขาจะหนีไปได้ การบ่นเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ พวกเขาจะต้องรีบคิดหาหนทางออกให้เร็วที่สุด
“บางทีคำตอบของพวกเราอาจจะอยู่เหนือประตูหินนั่นไป พวกเราต้องไปที่นั่นเพื่อหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้” ไนท์วินด์พูด
“พวกท่านลองพยายามทำลายรูปปั้นนั่นหรือยัง?” หานเซิ่นถาม
“ข้าได้ลองพยายามทำลายมันดูแล้ว แต่ข้าทำไม่สำเร็จ รูปปั้นนั่นแข็งแรงกว่าหินอื่นบนดาวดวงนี้” ไนท์วินด์พูด
“ถ้าอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าประตูหินจะเป็นหนทางเดียว แรงกระตุ้นนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และถึงพวกเราจะมีจิตใจที่แข็งแกร่ง พวกเราก็ทนไปตลอดไม่ได้ พวกเราจะรอจนกระทั่งกำลังเสริมมาถึงที่นี่ไม่ได้ พวกเราควรจะรีบไปที่ประตูนั่นขณะที่พวกเรายังควบคุมตัวเองได้อยู่”
เมื่อคุณหญิงมิร์เรอร์ทำการตัดสินใจได้แล้ว เธอก็ดูไม่ลังเลอีกต่อไป
“ข้าเห็นด้วย” หานเซิ่นพยักหน้า เขาต้องการจะไปดูรูปปั้นนั่นด้วยเช่นกัน
มันไม่มีหลักฐานอะไรที่บ่งบอกว่าเชื้อนี้จะแพร่จากคนสู่คน แต่ถึงอย่างนั้นใครจะรู้ว่าเชื้อนี่จะติดต่อทางไหนได้บ้าง? ถ้าเป่าเอ๋อและหนิงเยวี่ยมาติดเชื้อนี่ด้วยอีกคน นั่นจะเป็นอะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
แถมตอนนี้หนิงเยวี่ยเองก็ติดเชื้อบางสิ่งเข้าไปเรียบร้อยแล้ว มันยากขึ้นเรื่อยๆที่จะบอกว่าเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ลักษณะนิสัยของเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หนิงเยวี่ยที่หานเซิ่นเคยรู้จักนั้นไม่อยู่แล้ว
ตอนนี้เมื่อคุณหญิงมิร์เรอร์ตัดสินใจได้ เธอก็เริ่มออกเดินทางในทันที หานเซิ่น ไนท์วินด์และคนงานระดับดยุกคนนั้นตามเธอไปที่ทุ่งหินด้วยเช่นกัน
เรดคลาวด์ถูกลดระดับลงมาสู่ระดับราชัน ดังนั้นพวกเขาจึงทิ้งเธอเอาไว้ที่ค่าย แถมเธอก็ยังไม่ได้เห็นรูปปั้น ดังนั้นดวงตาของเธอยังคงเป็นปกติอยู่ แทนที่จะให้เธอมาเสี่ยง คุณหญิงมิร์เรอร์นั้นสั่งให้เธอคอยดูแลค่ายเอาไว้