พลังของไนท์วินด์นั้นแข็งแกร่งและมันก็เหนือกว่าหานเซิ่นมาก ถ้าแม้แต่ไนท์วินด์ยังไม่สามารถเปิดประตูเมืองดูก็อตได้ อย่างนั้นแล้วหานเซิ่นก็ไม่สามารถเปิดประตูได้เช่นกัน แถมในตอนนี้คุณหญิงมิร์เรอร์ก็ถูกลดระดับลงมาสู่ระดับราชัน ดังนั้นดูไร้หนทางที่พวกเขาจะเปิดประตูนี้ได้
ไนท์วินด์ฟันดาบออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป้าหมายไม่ใช่ประตูเมือง เขาหันความสนใจไปที่หินที่อยู่รอบๆแทนโดยหวังจะขุดเอาทั้งหอคอยออกมา
หานเซิ่นและคุณหญิงมิร์เรอร์ก้าวถอยออกไปและมองดูอยู่ห่างๆ เนื่องจากเปิดประตูไม่ได้ พวกเขาก็ไม่มีหนทางอื่นอีก แผนของไนท์วินด์นั้นเป็นความพยายามดิ้นรนสุดท้าย
โซ่สสารของไนท์วินด์ฟาดใส่หินดำจนแตกกระจายออกไป และส่วนต่างๆของหอคอยก็เผยออกมาให้เห็นมากขึ้นๆ
หานเซิ่นไม่รู้ว่าหอคอยมีทั้งหมดกี่ชั้นกันแน่ และนั่นเป็นเพราะจริงๆแล้วหอคอยนั้นขาดครึ่ง มันดูเหมือนกับว่าหอคอยถูกตัดด้วยดาบที่ใหญ่มหึมา หอคอยนั้นถูกตัดขาดอย่างหมดจดตั้งแต่หัวจรดหางราวกับว่ามันถูกตัดขาดในดาบเดียว พวกเขาทั้ง 3 คนจ้องมองหอคอยที่ขาดครึ่งด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ถึงไนท์วินด์จะไม่ใช่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่เก่งกาจสุด แต่เขาก็ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด การโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของเขาทำได้เพียงแค่ทิ้งรอยขีดข่วนเล็กๆบนอิฐของหอคอย แม้แต่การจะตัดอิฐสักก้อนก็อยู่เหนือความสามารถของเขา
อย่างนั้นแล้วมันจึงยากที่จะจิตนาการได้ว่าพลังแบบไหนกันที่สามารถตัดหอคอยนี้จนขาดครึ่งได้ เพียงแค่คิดเกี่ยวกับมันก็เป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว
ในตอนแรกหานเซิ่นรู้สึกไม่มีหวังว่าที่จะเข้าไปในเมืองดูก็อตจากด้านบน เพราะเมืองที่แข็งแรงแบบนั้นจะต้องมีใบเสมาหรือพลังบางอย่างคอยป้องกันเอาไว้แน่ นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะปีนข้ามกำแพงเข้าไปข้างในได้
แต่ตอนนี้เมื่อหอคอยถูกทำลาย พลังป้องกันของมันก็คงจะสูญหายไปเป็นเวลานานแล้ว นั่นหมายความว่าการจะเข้าไปข้างในเป็นอะไรที่ง่ายกว่าที่หานเซิ่นจินตนาการเอาไว้
ครึ่งบนของเมืองหอคอยนั้นขาดหายไป ไนท์วินด์ใช้ดาบฟันใส่หินหลายทิศทาง แต่เขาก็ไม่สามารถหาอีกครึ่งหนึ่งของหอคอยได้
ครึ่งล่างของหอคอยนั้นเต็มไปด้วยเศษหิน ด้วยเหตุนั้นไนท์วินด์จึงกวัดแกว่งดาบเพื่อขจัดเศษหินออกไป
แต่มันไม่มีอะไรให้เห็นมากนัก ในครึ่งของหอคอยที่หลงเหลืออยู่ รูปปั้นรูปหนึ่งตั้งอยู่ในหอคอย แต่รูปปั้นนั้นถูกตัดไปพร้อมกับครึ่งบนของหอคอย ส่วนที่เหลืออยู่ของรูปปั้นดูเหมือนจะอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ แต่พวกเขาไม่สามารถบอกได้ว่าเดิมทีแล้วนั้นเป็นรูปปั้นแบบไหนกันแน่
เศษซากของอสูรหินกระจัดกระจายอยู่รอบๆรูปปั้น พวกมันแตกเป็นเสี่ยงๆอยู่บนพื้น เมื่อดูจากพวกมันในตอนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าครั้งหนึ่งพวกมันเคยยืนเป็นยามเฝ้าทั้ง 2 ข้างของรูปปั้น
“ดูเหมือนว่าเคยมีการต่อสู้เกิดขึ้นที่นี่ แต่ทำไมพวกเราถึงไม่เห็นซากศพของสิ่งมีชีวิตไหนอยู่ที่นี่เลย?” หานเซิ่นถามด้วยความสับสน
“บางทีพวกเราอาจจะเคยเจอมันแล้ว พวกเราเคยขุดแขนขาขึ้นมาจำได้ไหม? แขนขาพวกนั้นเป็นอันตรายอย่างมาก แม้จะเป็นเพียงแค่แขนขา พวกมันก็ยังคงฆ่าคนงานของพวกเราได้หลายคน นั่นแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของคนที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่” ไนท์วินด์พูด
คุณหญิงมิร์เรอร์ขมวดคิ้ว เธอมองไปที่เมืองดูก็อตและพูด
“ถ้านี่คือเมืองดูก็อตจริงๆ มันก็ต้องเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของแอนเชี่ยนท์ก็อต แม้แต่ทางเอ็กซ์ตรีมคิงก็ยังเชื่อว่าเมืองดูก็อตเป็นเพียงแค่ตำนานและไม่ใช่สถานที่ที่มีอยู่จริงๆ แอนเชี่ยนท์ก็อตนั้นจะปกป้องที่นี่อย่างจริงจังมากๆ ถ้าสิ่งมีชีวิตอื่นมาโจมตีเมืองดูก็อต อย่างนั้นแล้วแอนเชี่ยนท์ก็อตก็ต้องตอบโต้อย่างแน่นอน แต่ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องราวไหนที่บอกว่าแอนเชี่ยนท์ก็อตเคยทำการต่อสู้ในระดับนี้มาก่อนเลย”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ คุณหญิงมิร์เรอร์ก็พูดต่อ “จากที่พวกเราเห็น นี่จะต้องซากปรักหักพังสนามรบของเทพสปิริตที่เกิดขึ้นในยุดสมัยแรก แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง การต่อสู้ระดับนี้ก็ต้องเป็นที่ตกตะลึงทั้งจักรวาล มันไม่มีทางที่จะไม่มีใครรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่”
“บางทีพวกเราอาจจะคิดมากเกินไป บางทีนี่อาจจะไม่ใช่ซากปรักหักพังที่เกิดจากการต่อสู้ของเทพสปิริต” ไนท์วินด์พูด
หานเซิ่นคิดและพูด “บางทีเมืองดูก็อตอาจจะมีอยู่จริงๆ และมันเป็นสถานที่ต้องห้ามที่ถูกเก็บเป็นความลับเฉพาะในหมู่แอนเชี่ยนท์ก็อต แต่ที่นี่ถูกทำลายตั้งแต่ยุคสมัยแรก บางทีนั่นจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่มีใครได้มีโอกาสได้เห็นเมืองดูก็อตมาก่อน บางทีแม้แต่แอนเชี่ยนท์ก็อตเองก็ไม่รู้ว่าจะหามันได้จากที่ไหน”
“นั่นก็ฟังดูเป็นไปได้ แอนเชี่ยนท์ก็อตและเวรี่ไฮมักจะเก็บเรื่องภายในของตัวเองเอาไว้เป็นความลับ ทั้ง 2 เผ่าอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยของเซเคร็ด และพวกเขาก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว แต่เมื่อก่อนพวกเขาถูกกดขี่โดยเผ่าเซเคร็ด ซึ่งทำให้พวกเขาไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนอย่างทุกวันนี้” คุณหญิงมิร์เรอร์พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
“ถ้าเมืองดูก็อตอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยเริ่มแรกจริง นั่นหมายความว่าความลับของที่นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับการกลายเป็นเทพสปิริตอย่างที่ตำนานกล่าวขานจริงๆใช่ไหม?” ไนท์วินด์ฟังดูตื่นเต้นอย่างมาก
หานเซิ่นส่ายหัว “บางทีอาจจะไม่ การที่เมืองดูก็อตถูกทำลายแบบนี้ มันหมายความว่าแอนเชี่ยนท์ก็อตปกป้องมันเอาไว้ไม่สำเร็จ บางทีความลับที่ซ่อนอยู่ในเมืองดูก็อตนั้นคงจะถูกขโมยไปเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้มันก็อาจจะเหลือแค่เมืองที่ว่างเปล่า”
ไนท์วินด์เข้าใจในเรื่องนั้น แต่เขายังคงมีความหวังอยู่ เขาพูดขึ้นมา
“มันคงจะต้องมีบางสิ่งอยู่ในเมืองนี้ ไม่อย่างนั้นทำไมเผ่าพันธุ์อื่นถึงได้พยายามหาทางมาที่เมืองแห่งนี้”
“มันยากที่จะบอกได้” หานเซิ่นพูดอย่างเบาๆ
ในความจริงแล้วหานเซิ่นเองก็คิดว่ามันมีบางสิ่งอยู่ภายในเมืองดูก็อตเช่นกัน แต่สิ่งนั้นอาจจะไม่ใช่ความลับของการกลายเป็นเทพสปิริตที่ตำนานกล่าวเอาไว้ บางทีบางอย่างที่น่ากลัวอาจจะรอดจากการต่อสู้ครั้งนั้นและกำลังล่อผู้คนที่มาที่นี่ให้เข้าไปข้างใน
หานเซิ่นรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเกี่ยวกับที่แห่งนี้ พวกเขาพบหินที่สามารถเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าเป็นระดับราชันได้ และยังมีรูปปั้นที่ทำให้ดวงตาของทุกคนเปลี่ยนเป็นสีแดงอีก อย่างนั้นแล้วอะไรก็ตามที่ซ่อนอยู่ในเมืองแห่งนี้คงจะไม่ใช่สิ่งดีอย่างแน่นอน
“พวกเราจะเข้าไปสำรวจข้างใน” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด หลังจากไนท์วินด์ก็ลงมือทำลายเศษก้อนหินต่อ
เมืองดูก็อตนั้นถูกฝังอยู่ใต้ก้อนหินจำนวนมาก ทั้งสิ่งก่อสร้างและถนนภายในเมืองต่างก็ถูกฝังอยู่ใต้ก้อนหินทั้งหมด ถ้าพวกเขาต้องการจะเข้าไปสำรวจในเมือง พวกเขาก็ต้องกำจัดก้อนหินพวกนั้นไปซะก่อน
โชคดีที่หินพวกนั้นไม่ได้แข็งเหมือนอย่างอิฐของตัวเมือง และพวกมันก็เป็นเพียงแค่หินชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ด้วยเหตุนั้นการกำจัดพวกมันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ด้วยพลังของไนท์วินด์การกำจัดเศษหินออกไปจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เขาไม่กล้าใช้พลังทั้งหมด เขากลัวว่าจะเผลอไปทำลายบางสิ่งที่มีค่าที่อยู่ใต้กองหินเข้า และเผื่อในกรณีที่มีบางสิ่งที่มีชีวิตหลับไหลอยู่ภายในเมือง เขาก็ไม่ต้องการจะปลุกมันให้ตื่นขึ้นมา
หลังจากประสบการณ์หลายวันที่ผ่านมา แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าอย่างไนท์วินด์ก็ต้องระมัดระวังอย่างเต็มที่ เขาไม่คิดจะทำอะไรที่โง่เขลา
ไนท์วินด์ใช้ดาบโซ่สสารของเขาตัดผ่านหินที่กว้างหลายสิบเมตร และหลังจากที่พวกเขาผ่านเข้าไป พวกเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในลานกว้างของเมือง ไนท์วินด์ขุดหินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งเขาพบกับบางสิ่ง