เป่าเอ๋อมองไปที่ชายผมขาว เธอกระพริบตาและพูด “นี่คิดจะรังแกเด็กคนหนึ่งกับสัตว์เลี้ยงของเธออย่างนั้นหรอ?”
เมื่อชายผมขาวได้ยินเป่าเอ๋อ เขาก็หันมายิ้มให้กับเธอ เขายกมือขึ้นและปล่อยนกแดงน้อยไป เมื่อถูกปล่อยเป็นอิสระแล้ว นกแดงน้อยก็รีบบินไปหลบหลังเป่าเอ๋อ
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” ชายผมขาวถามเป่าเอ๋อ
“เป่าเอ๋อ หานเป่าเอ๋อ” เป่าเอ๋อตอบอย่างจริงจัง นอกจากเวลาที่เธออยู่กับหานเซิ่นและจีเหยียนหรันแล้ว เธอแทบไม่เคยจริงจังแบบนี้
“ไม่เลว ฝากทักทายพ่อของเจ้าแทนข้าด้วย” ชายผมขาวพยักหน้าให้กับเป่าเอ๋อก่อนที่จะหันหลังและเดินจากไป
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” เป่าเอ๋อถามขณะที่มองแผ่นหลังของชายผมขาว
“ไท่อี” ชายผมขาวไม่ได้หันกลับมามอง เขายังเดินต่อไป และหลังจากผ่านไปไม่กี่ก้าว ร่างกายของเขาก็หายไปในช่องว่างของมิติ
“เจ้ากำลังทำอะไร?” เป่าเอ๋อถาม
“ทวงหนี้ มันถึงเวลาที่ข้าจะเอาบางสิ่งที่ไม่ได้เป็นของพวกเขากลับคืนมา”
เสียงของชายผมขาวยังคงดังก้องและค่อยๆเลือนหายไปจากระยะที่ไกลขึ้น
ฟอลลิ่งลีฟถูกทิ้งให้สั่นกลัว เธอไม่เคยเห็นใครบางคนที่สามารถใช้วิชาเทเลพอร์ต ขณะที่ยังคงส่งเสียงกลับมาได้ แม้แต่ราชาไป๋ก็ไม่สามารถทำอะไรแบบนั้น
ในขณะที่ฟอลลิ่งลีฟยังคงตกใจก็มีใครบางคนส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย!”
พวกเขาหันไปมองและเห็นหญิงสาวในชุดสีชมพูกำลังวิ่งผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือด เธอวิ่งมาทางพวกเขาพร้อมกับร้องขอความช่วยเหลือทั้งน้ำตา
คนงานซีโน่เจเนอิคระดับดยุกคนหนึ่งกำลังไล่ล่าเธอ มันไม่มีอาวุธอะไรและมันพยายามโจมตีใส่หญิงสาวคนนั้นด้วยมือเปล่า
เมื่อดูจากการเคลื่อนไหวของหญิงสาวคนนั้นแล้ว เธอดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าคนงานดยุกคนนั้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดูหวาดกลัวและเอาแต่วิ่งหนี
เป่าเอ๋อมองหนิงเยวี่ยที่กำลังวิ่งเข้ามา เธอจำหนิงเยวี่ยได้ แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามยังไง เธอก็ไม่สามารถเชื่อมโยงหนิงเยวี่ยคนนี้กับคนที่เข้มแข็งที่เธอเคยรู้จักได้
“ช่วยฉันด้วย! เป่าเอ๋อช่วยฉันด้วย!” หนิงเยวี่ยร้องตะโกนขณะที่วิ่งหนีหางจุกตูด
ฟอลลิ่งลีฟกำลังจะหยุดหนิงเยวี่ยเอาไว้ แต่เป่าเอ๋อรีบพูด “ให้เขาเข้ามา”
หนิงเยวี่ยวิ่งเข้ามาในห้องที่พังทลาย และเมื่อเธอเข้ามาแล้ว เธอก็หนีไปหลบด้านหลังของเป่าเอ๋อขณะที่สั่นกลัว “ช่วยฉันด้วยเป่าเอ๋อ!”
“ฮ่า! สาวน้อยหนิงเยวี่ย เธอควรจะแข็งแกร่งกว่าดยุกห่วยๆคนนั้นมาก อะไรกันที่ทำให้เธอหวาดกลัวนัก?” เป่าเอ๋อหัวเราะขณะที่มองไปที่หนิงเยวี่ยราวกับว่าเธอพบของเล่นใหม่ที่น่าสนุก
ร่างกายของหนิงเยวี่ยยังคงสั่นไปทั้งตัว ใบหน้าของเธอดูซีดเซียวและเธอก็ดูหวาดกลัวมากจริงๆ
“การต่อสู้มันเป็นอะไรที่ผิด! และการฆ่าฟันนั้นก็เป็นอะไรที่ผิดยิ่งกว่า… แถมฉันยังเป็นหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้…”
“ฮ่า!” เป่าเอ๋ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เธอลูบผมของหนิงเยวี่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีอะไรต้องกลัว เธอจะไม่เป็นอะไร ผู้หญิงที่งดงามและน่ารักอย่างพวกเราไม่ควรไปต่อสู้และฆ่าฟัน”
“ฉันพูดถูกใช่ไหม?” หนิงเยวี่ยพยักหน้าเห็นด้วยกับเป่าเอ๋อ เธอยังคงดูวิตกกังวลอย่างมาก
ฟอลลิ่งลีฟไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว เธอกวัดแกว่งมีดและตัดหัวคนงานดยุกคนนั้นอย่างรวดเร็ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมทุกคนในค่ายถึงได้พยายามฆ่าฟันกันแบบนี้? นี่มันเกี่ยวข้องกับชายผมขาวคนนั้นอย่างนั้นหรอ?”
ฟอลลิ่งลีฟมองไปรอบๆ ผู้คนฆ่าฟันกันทุกหนทุกแห่งไม่ว่าเธอจะมองไปทางไหน
คนงานหลายคนวิ่งมาทางพวกเธอ ฟอลลิ่งลีฟพยายามเตือนไม่ให้พวกเขาเข้ามาใกล้ แต่พวกเขาไม่ฟังคำพูดของเธอ ดังนั้นเธอจำเป็นต้องตัดหัวของพวกเขา
…
หานเซิ่นและคุณหญิงมิร์เรอร์ยังคงยืนคุมเชิงกันอยู่ ไม่มีฝ่ายไหนเริ่มเคลื่อนไหวก่อน
“ข้าหรือนาง เจ้าเป็นคนเลือก” คุณหญิงมิร์เรอร์มองไปหานเซิ่น มือของเธอยังคงจับดาบหักเอาไว้แน่น
“พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ ที่นี่น่ากลัว มันจะปลอดภัยกว่าถ้าพวกเราไปในที่ที่มีคนอยู่เยอะๆ” หานเซิ่นยิ้ม
“ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับคนที่อยู่ข้างตัว ข้าไม่ต้องการเก็บระเบิดเวลาเอาไว้ข้างตัว” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ล่วงหน้าไปก่อนคนเดียว และข้าจะกลับไปพร้อมกับเด็กคนนี้ นั่นโอเคใช่ไหม?” หานเซิ่นพูดหลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่
“ไม่ เจ้าต้องการให้นางนำภัยมาสู่สปริงเรนของข้าอย่างนั้นหรอ?” คุณหญิงมิร์เรอร์ขมวดคิ้ว
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะอยู่กับเด็กคนนี้ที่นี่” หานเซิ่นพูด
“ไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่ทำมัน แบบนั้นข้าก็จะทำมันแทนเจ้าเอง” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด เธอแกว่งดาบหักใส่เด็กสาวในอ้อมแขนของหานเซิ่น
คุณหญิงมิร์เรอร์กลายเป็นระดับราชัน แต่จิตใจและสติปัญญาของเธอยังเป็นระดับเทพเจ้า การฟันของเธอดูเหมือนกับสายรุ้ง มันโค้งอย่างน่าพิศวง มันอยากที่จะบอกได้ว่าดาบนั้นฟันไปที่ตำแหน่งไหน
การเคลื่อนไหวของหานเซิ่นเองก็ยากจะคาดเดาเช่นเดียวกัน แต่หลังจากพยายามที่หลบหลีกการโจมตีอยู่หลายครั้ง เขาก็ยังไม่สามารถหลบดาบของคุณหญิงมิร์เรอร์ได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงยื่นฝ่ามือออกมาเพื่อจะหยุดดาบหักเอาไว้ แต่เขาเล็งที่ด้ามของมันแทนที่จะเป็นใบมีด
ดาบหักนั้นสามารถตัดเปลือกของต้นเรเควี่ยมได้ ด้วยเหตุนั้นมันเป็นอะไรที่คมเกินกว่าที่จะเผชิญหน้าตรงๆ และหานเซิ่นก็ไม่มีอาวุธของตัวเองที่จะใช้รับดาบนั้นเช่นกัน แม้แต่อาวุธระดับเทพเจ้าก็อาจจะถูกทำลายได้ง่ายๆโดยดาบหักนั่น
แต่เมื่อฝ่ามือของเขาสัมผัสกับด้ามของดาบหัก อกของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา และคลื่นพลังของมันก็ส่งเขากระเด็นออกไป
‘เกิดอะไรขึ้น? บางสิ่งทำให้อกของเรารู้สึกเจ็บ นี่คือพลังของเราเองอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง แต่ดาบหักของคุณหญิงมิร์เรอร์ฟันเข้าใส่เขาอีกครั้งเรียบร้อยแล้ว
คุณหญิงมิร์เรอร์แสดงให้เห็นว่าทำไมเธอถึงเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่แข็งแกร่ง วิชาดาบของเธออยู่เหนือความสามารถของหานเซิ่น และมันก็เป็นวิชาดาบที่ประหลาดมากๆ ไม่ว่าหานเซิ่นจะเคลื่อนไหวยังไง เขาก็ไม่สามารถหลบการโจมตีได้พ้น มันคล้ายคลึงกับการโจมตีของวิชาจำลองนภา แต่การโจมตีนี้ขาดพลังเหตุและผล
ปัง!
หานเซิ่นยื่นมือออกไปเพื่อโจมตีกลับ แต่เหมือนกับครั้งก่อนเมื่อมือของเขาสัมผัสกับด้ามของดาบหัก อกของเขาก็ได้รับแรงกระแทกและส่งให้เขากระเด็นออกไปอีกครั้ง
คุณหญิงมิร์เรอร์ตามติดเขาเหมือนกับเงา เธอพยายามจะฟันใส่หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา
“นี่คือร่างมิร์เรอร์สปิริตของท่านอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามขณะที่ถอยออกไป
“ใช่ ถึงแม้จะเป็นระดับราชัน ข้าก็ฆ่าเจ้าได้ง่ายๆ อย่าได้ทำให้ข้าหมดความอดทน” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“ร่างมิร์เรอร์สปิริตของท่านทำได้แค่สะท้อนการโจมตีกลับมาอย่างนั้นหรอ? นั่นไม่น่าประทับใจเท่าไหร่เลย” หานเซิ่นพูด
“บางทีมันอาจจะไม่ดูมหัศจรรย์ แต่มันก็เพียงพอที่จะฆ่าเจ้า” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“คิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นไม่สามารถถอยได้อีกแล้ว และเขาก็โจมตีกลับไปใส่คุณหญิงมิร์เรอร์หรือดาบหักไม่ได้ เขาหันหลังและใช้ร่างกายเป็นโล่ให้กับเด็กสาวจากดาบหักที่ฟันเข้ามา
“อย่าคิดว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” คุณหญิงมิร์เรอร์พูดด้วยความรำคาญ ขณะที่เธอหยุดดาบเอาไว้