“ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย” คุณหญิงมิร์เรอร์พูดด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง
“ท่านหญิงมิร์เรอร์ ถ้าท่านยังมีร่างกายระดับเทพเจ้าอยู่ กายหยกของข้าก็คงจะทนต่อการฟันที่ทรงพลังของท่านไม่ได้ แต่ตอนนี้ท่านไม่ได้แตกต่างอะไรจากข้า ท่านเป็นแค่คู่ต่อสู้ระดับราชันขั้นแรกคนหนึ่ง นอกซะจากท่านจะฟันข้าด้วยดาบหักนั่น การฟันถูกภาพสะท้อนจะไม่ทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย” หานเซิ่นพูด
“แล้วจะยังไง? จริงๆแล้วมันเป็นอะไรที่น่าโล่งใจซะอีกที่ข้าไม่ต้องกังวลว่าเจ้าจะถูกฆ่าตายอีกต่อไป ข้าแค่ต้องฟันใส่ผู้หญิงคนนั้นแทน ถึงแม้เจ้าจะซ่อนนางไว้ด้านหลัง เจ้าก็ไม่ปกป้องเงาของนางจากข้าได้” คุณหญิงมิร์เรอร์พูดขณะที่ยกดาบหักขึ้นอีกครั้ง
“ท่านไม่ได้ยินที่ข้าเพิ่งจะพูดหรือยังไง” หานเซิ่นมองตรงไปที่คุณหญิงมิร์เรอร์
“พูดอะไร?” คุณหญิงมิร์เรอร์ถาม
“พวกเราเป็นระดับราชันเหมือนกัน” หานเซิ่นยกหมัดขึ้น หลังจากนั้นน้ำแข็งรอบหมัดของเขาก็กลายเป็นแสงแห่งเทพที่พุ่งไปทางคุณหญิงมิร์เรอร์
กระจกเก่าแก่บานหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้าคุณหญิงมิร์เรอร์ เธอต้องการจะสะท้อนแสงแห่งเทพกลับไปใส่หานเซิ่น แต่แสงแห่งเทพของกายหยกนั้นไม่ใช่พลังธรรมดาๆ มันเป็นพลังสำหรับการปิดผนึก
แสงแห่งเทพห่อหุ้มรอบตัวคุณหญิงมิร์เรอร์และกระจกบานนั้นพร้อมๆกับก่อตัวเป็นก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่
“ท่านหญิงมิร์เรอร์ ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน เมื่อข้าหาทางแก้อาการตาแดงนี่ได้แล้ว ข้าจะกลับมาหาท่าน”
หานเซิ่นมองไปที่ดาบหักของคุณหญิงมิร์เรอร์ แต่เขาตัดสินใจไม่เอามันไปด้วย เขาเปลี่ยนเอาหว่านเอ๋อมาไว้ด้านหลังก่อนที่จะเริ่มเดินลึกเข้าไปในเมืองที่พังทลาย
ถ้าเกิดคำทำนายของรูปภาพสุดท้ายเป็นความจริง บุคคลในรูปภาพนั้นก็คงจะเป็นเขากับหว่านเอ๋อ สถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้ยังตรงกับภาพที่ 6 บนฉากกั้นที่พวกเขาค้นพบ
แต่หนทางข้างหน้าของพวกเขายังไม่ถูกเก็บกวาด มันยังคงปกคลุมไปด้วยเศษหินจำนวนมาก และเนื่องจากไนท์วินด์ไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อเปิดเส้นทางให้กับพวกเขาอีกแล้ว หานเซิ่นก็จำเป็นต้องทำมันด้วยตัวเอง ในขณะที่ยังคงอุ้มเด็กสาวอยู่ หานเซิ่นก็ทำลายก้อนหินที่อยู่ข้างหน้า
หานเซิ่นไม่ได้มีโซ่สสารเหมือนอย่างไนท์วินด์ ดังนั้นเขาไม่สามารถเคลียร์เส้นทางเป็นวงกว้างได้ เขาได้แค่เปิดเส้นทางที่กว้างพอจะรอดผ่านไปได้เท่านั้น เขาพยายามเดินทางไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าพลังของดวงตาสีแดงไม่ได้มีผลกระทบอีกต่อไป ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะว่าดวงตาของเขาถูกทำลายไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกระตุ้นให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางหนึ่ง แต่มันไม่ได้รุนแรงอะไรนัก
หานเซิ่นไม่แน่ใจว่าดาบหักนั่นเป็นอาวุธแบบไหนกันแน่ แต่ดวงตาที่ถูกทำลายไม่สามารถฟื้นตัวด้วยพลังของวิชากายหยก
หลังจากที่หานเซิ่นไปไม่นาน น้ำแข็งที่ปิดผนึกคุณหญิงมิร์เรอร์อยู่ก็เริ่มส่งเสียงแตกร้าวออกมา รอยร้าวปรากฏขึ้นบนผิวของมันและไม่กี่วินาทีต่อมา ก้อนน้ำแข็งก็แตกกระจายและคุณหญิงมิร์เรอร์ก็เป็นอิสระอีกครั้ง
คุณหญิงมิร์เรอร์มองไปในทิศทางที่หานเซิ่นเดินจากไป สีหน้าของเธอดูซับซ้อน แต่หลังจากผ่านไปสักพักเธอก็ถอนหายใจออกมา
“หวังว่าเขาจะหาทางทำลายคำสาปตาสีแดงนี้ได้”
คุณหญิงมิร์เรอร์รู้สึกตัวถึงเรื่องบางอย่าง ถึงแม้เธอจะไม่อยากคิดแบบนั้น แต่เธอก็รู้ตัวเองดี นอกซะจากว่าเธอจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าอีกครั้ง มันก็ไม่มีทางที่เธอจะเอาชนะหานเซิ่น
“พวกเราอาจจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ข้าเอาชนะเขาไม่ได้ หวังว่าในตอนที่ข้าเป็นระดับเทพเจ้าแล้ว เขาจะมีความกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับข้าแบบเดียวกันนี้”
คุณหญิงมิร์เรอร์นั่งลงบนก้อนหินใกล้ๆกับทางเข้าถ้ำที่นำไปสู่เมืองหอคอย เธอใช้วิชาจีโนเพื่อยับยั้งแรงกระตุ้นของดวงตาสีแดง ขณะที่นั่งรอคอยผลลัพธ์ของหานเซิ่น
หานเซิ่นทำลายก้อนหินขณะที่อุ้มหว่านเอ๋อเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ เขาไม่ได้พบอะไรที่แปลกประหลาด แต่หลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมง เขาก็รู้สึกว่าหินตรงหน้านั้นทำลายได้ง่ายขึ้น
เมื่อหานเซิ่นทำลายเศษหินที่ขวางหน้าไปแล้ว เขาก็รู้สึกตัวว่ามันมีพื้นที่โล่งอยู่เบื้องหลังหินพวกนั้น
หานเซิ่นมายืนอยู่หน้าห้องโถงแห่งหนึ่ง ซึ่งภายในห้องโถงนั้นมีรูปปั้นที่มีดวงตาและมือนับพันอยู่ มันดูเหมือนกับรูปปั้นที่พวกเขาได้เห็นก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เพียงแต่รูปปั้นที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้สูงถึงหนึ่งพันเมตร ซึ่งมันใหญ่โตกว่าที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้มาก
ในจังหวะที่หานเซิ่นเข้าไปในห้องโถง เขาก็รู้สึกว่าตัวเองถูกจ้องมอง ทันใดนั้นดวงตาที่บอดของเขาก็ร้อนขึ้นมา หลังจากนั้นดวงตาที่ถูกทำลายก็เริ่มพื้นฟูตัวเอง และไม่กี่วินาทีเขาก็สามารถมองเห็นอีกครั้ง
แม้จะไม่มีมองกระจก หานเซิ่นก็รู้สึกได้ว่าดวงตาของเขากำลังเรืองแสงสีแดง ม่านตาทั้ง 4 ในดวงตาของเขาตอนนี้เป็นเหมือนดวงอาทิตย์สีแดงทั้ง 4 ดวง
ความรู้สึกที่เหมือนกับติดยาเริ่มรุนแรงขึ้นหลายเท่า หานเซิ่นรู้สึกราวกับแมลงเม่าที่ถูกดึงดูดเข้าไปหากองไฟ เขาไม่ต้องการอะไรอย่างอื่น นอกเหนือไปจากการเข้าไปหารูปปั้นนั่น
จิตใจของหานเซิ่นแข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างนั้นจิตใจของเขาก็เริ่มสั่นคลอนภายใต้แรงดึงดูดของรูปปั้น มันเหมือนกับว่ารูปปั้นเป็นปลายทางชีวิตของเขา และเขาก็ต้องการจะไปหามันอย่างที่สุด
“เข้ามา…เข้ามา…” เสียงกระซิบออกมาจากรูปปั้น มันกำลังร้องเรียกเขา
ถึงแม้หานเซิ่นจะพยายามควบคุมจิตใจเอาไว้ แต่เท้าของเขาก็เริ่มก้าวออกไปข้างหน้าด้วยตัวมันเอง มันดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถขัดขืนการเรียกของรูปปั้นได้ เขาเคลื่อนเดินเข้าไปหามันอย่างช้าๆ
ตูม!
โดยไม่ลังเลหานเซิ่นเปิดใช้งานโหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดทันที แสงศักดิ์สิทธิ์ลุกโชนขึ้นในดวงตาของเขา มันลบล้างม่านตาที่เป็นสีแดงและทำให้ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาว
ในครั้งก่อนที่หานเซิ่นใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด เขาถูกหว่านเอ๋อหยุดเอาไว้ก่อนที่มันจะลบล้างสีแดงออกไปจากดวงตา ตอนนี้เมื่อเขาปลดปล่อยพลังของมัน สีแดงของดวงตาก็หายไป
แสงสีขาวลุกโชติช่วงจากร่างกายของหานเซิ่นราวกับเปลวไฟแห่งการชำระล้าง ร่างกายของหานเซิ่นลอยตัวอยู่ในอากาศขณะที่ห่อหุ้มด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ราวกับเทพ
มันมีดวงตาสีแดงบนมือแต่ละข้างของรูปปั้น และพวกมันก็มองตามการเคลื่อนไหวของหานเซิ่น ดวงตาของรูปปั้นเป็นเหมือนกับปีศาจที่ติดตามการเคลื่อนไหวของหานเซิ่นทุกฝีก้าว
แต่ภายใต้อิทธิพลของโหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด พลังของดวงตาเหล่านั้นไม่มีผลกับหานเซิ่น หานเซิ่นรวบรวมพลังเพื่อที่จะใช้ท่าตบขั้นสุดยอด เขาอยากลองดูว่าจะสามารถทำลายดวงตาปีศาจบนรูปปั้นได้ไหม
แต่ก่อนที่หานเซิ่นจะได้ทำแบบนั้น เขาก็รู้สึกว่าพลังของร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดเริ่มจางหายไปอย่างกะทันหัน
“นี่มันคืออะไรกัน?” หานเซิ่นตกใจ พลังของเขาเริ่มจางหายจากแผ่นหลัง และนั่นคือจุดที่หว่านเอ๋อถูกอุ้มอยู่
พลังของร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดหายไป และอิทธิพลของรูปปั้นก็เริ่มส่งผลต่อหานเซิ่นอีกครั้ง ดวงตาของเขาเปลี่ยนกลับเป็นสีแดงและหานเซิ่นก็รู้สึกเหมือนกับแมลงเม่าที่ถูกดึงดูดไปหากองไฟอีกครั้ง ครั้งนี้มันรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
“นี่มันแย่แล้ว ตอนนี้เมื่อหว่านเอ๋อไม่มีพลัง แต่ทำไมร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดของเราถึงยังได้รับผลกระทบจากเธออีก?” หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ