“ช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดของเอ็กซ์ตรีมคิง จุดเริ่มต้นของเอ็กซ์ตรีมคิง ท้องฟ้าและฝืนดินต่างก็ต้อนรับเผ่าพันธุ์นี้…”
ผู้หญิงคนนั้นอ่านบทนำด้วยเสียงที่ละเมียดละไม แต่หลังจากนั้นเธอก็หัวเราะออกมาด้วยความดูถูก “อวดดียิ่งนัก เขาก็เป็นแค่ทาสคนหนึ่งของผู้นำเซเคร็ด เขากล้าดียังไงที่พูดแบบนั้น?”
‘ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับผู้นำเซเคร็ด นี่อัลฟ่าของเอ็กซ์ตรีมคิงเคยเป็นทาสรับใช้ของเซเคร็ดมาก่อนอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดด้วยความประหลาดใจ
ผู้หญิงคนนั้นอ่านช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดต่อไป และหลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็เริ่มจะดูรำคาญ
“นึกว่าจะเป็นอะไรที่พิเศษ นี่มันก็แค่เวอร์ชั่นห่วยๆของร่างสปิริตโลหิตของผู้นำเซเคร็ด เขายังมีหน้าเรียกมันว่าร่างกายแห่งราชันอีกอย่างนั้นหรอ? น่าหัวเราะสิ้นดี”
ดวงตาของหานเซิ่นเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม “ไม่มีทาง ร่างกายแห่งราชันของเอ็กซ์ตรีมคิงเป็นสิ่งที่ถูกคิดค้นโดยผู้นำเซเคร็ดอย่างนั้นหรอ?”
ผู้หญิงคนนั้นมองหนังสือในมือด้วยความรังเกียจ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อ่านมันจนจบ ขณะที่ดวงตาของเธอมองไปที่หน้าหนังสือ หานเซิ่นเองก็อ่านเนื้อหาของช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดไปพร้อมๆกับเธอด้วย
ถึงแม้หนังสือเล่มนี้จะไม่ใช่ฉบับจริง แต่เนื้อหาของมันก็เหมือนกับช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดต้นฉบับทุกตัวอักษร มันเป็นวิชาจีโนที่ทรงพลังและประกอบด้วยหลายส่วน มันมีทุกอย่างที่คนๆหนึ่งต้องการ ถ้าสมาชิกคนหนึ่งของเอ็กซ์ตรีมคิงมีร่างกายแห่งราชันของตัวเอง พวกเขาก็จะสามารถเรียนรู้วิชาจากภายในช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดได้
“ทาสรับใช้คนนี้ขโมยจีโนเวิลด์สปีชของเรา ต้องขอยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ชาญฉลาด เขารวมจีโนเวิลด์สปีชกับร่างสปิริตโลหิตเข้าด้วยกัน แต่ทั้งจีโนเวิลด์สปีชและร่างสปิริตโลหิตต่างก็ยังไม่สมบูรณ์ทั้งคู่ ดังนั้นไม่ว่าพวกมันจะรวมกันยังไง พวกมันก็ไปไม่ถึงขั้นสุดท้าย”
ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกหมดความสนใจกับช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดของเอ็กซ์ตรีมคิง เธอนำมันกลับไปวางบนชั้นหนังสือเหมือนเดิม
หานเซิ่นอึ้งไปและคิดกับตัวเอง ‘ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ดูแก่อะไร แต่เธอพูดเหมือนกับว่าเธอมีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยของผู้นำเซเคร็ด เรื่องแบบนั้นเป็นไปได้ด้วยหรอเนีย? เธอมีชีวิตอยู่ยาวนานแบบนั้นได้ยังไง?’
“แต่จะไปโทษทาสคนหนึ่งก็ไม่ได้ ที่เขาไปไม่ถึงระดับของยีนขั้นสุดยอด เพราแม้แต่ผู้นำเซเคร็ดและเราเองก็ยังล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า และเขาที่เป็นแค่ทาสทำได้ถึงขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นอะไรที่น่านับถือแล้ว” เธอกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้
หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัว “ว่าอะไรนะ? ยีนขั้นสุดยอดที่พูดถึงนี่เกี่ยวข้องกับก็อตแซงชัวรี่หรือเปล่านะ?”
ผู้หญิงคนนั้นมองไปมที่สมุดบันทึกด้วยความเบื่อหน่าย เธอปิดมันและนำมันกลับไปวางไว้ที่เดิม หลังจากนั้นเธอก็ถอนหายใจอีกครั้ง
“ยังคงไม่มีเบาะแสให้ไปต่อ ทำไมเรื่องราวของยีนถึงฝึกไม่ได้นะ แต่การลดคุณสมบัติที่จำเป็นจะทำให้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างยีนขั้นสุดยอดขึ้นมา เราควรจะทำยังไงดี?”
หานเซิ่นรู้สึกอึดอัดในลำคอ เขาต้องการจะตะโกนออกมา “เรื่องราวของยีน! นี่เจ้ากำลังวิจัยเกี่ยวกับเรื่องราวของยีนหรอเนี่ย? ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน?”
“บางทีผู้นำเซเคร็ดอาจจะพูดถูก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินความผิดพลาดในวิชาจีโน พวกเราจำเป็นต้องหาหนทางที่จะทำให้ยีนของสิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการเร็วยิ่งขึ้น ถ้าพวกเราเร่งความเร็วในการวิวัฒนาการของยีนได้ล่ะก็… แต่ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมพวกเราถึงยังจำเป็นต้องมีเรื่องราวของยีนอีก?” ผู้หญิงคนนั้นส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ
หานเซิ่นยังไม่หายตกใจ ถ้าสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้พูดเป็นความจริงล่ะก็ เธอก็อาจจะเป็นคนที่คิดค้นเรื่องราวของยีนขึ้นมาจริงๆ แถมเธออาจจะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้นำเซเคร็ด และบางทีเธออาจจะรู้จักเขาเป็นการส่วนตัวก็ได้
หานเซิ่นต้องการหนีไปจากผู้หญิงที่น่าสะพรึงกลัวคนนี้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็อยากจะรู้ความลับของเธอมากกว่านี้
หานเซิ่นไม่สามารถบอกถึงระดับของผู้หญิงคนนี้ได้ ถ้าเขาทำได้ล่ะก็ เขาก็อยากจะจับผู้หญิงคนนี้มัดเอาไว้และสอบสวนเธอ
แต่เมื่อคำนึงถึงการที่ผู้หญิงคนนี้อาจจะมีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยของผู้นำเซเคร็ด เขาก็ละทิ้งความคิดนั้นไป มันยังมีเรื่องที่เขาไม่รู้เยอะเกินไป แต่เขาพอจะบอกได้ว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนี้ เขาจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง
ถ้าเธอทำการวิจัยร่วมกับผู้นำเซเคร็ด และเธอยังถือว่าเอ็กซ์ตรีมคิงไม่ได้มากไปกว่าทาสรับใช้ พลังของเธอก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
บางทีเธออาจจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างเพอเพิลไฟต์ แต่มันก็มีโอกาสสูงที่เธอจะเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นสูง หานเซิ่นไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับคนแบบนั้นได้ ถ้าเขาเผยตัวเองออกไป เขาก็อาจจะตกเป็นฝ่ายที่ถูกสอบสวนซะเอง
หานเซิ่นต้องอดทนเอาไว้ ถ้าผู้หญิงคนนี้ยังคงพูดกับตัวเองต่อไป เธอก็อาจจะเผยความลับออกมามากขึ้น
แต่เธอไม่ได้พูดกับตัวเองทุกวัน ในบางวันนั้นเธอไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เดม่อนสปิริตมาเยี่ยมเยียน เธอก็มักจะอารมณ์เสีย หลังจากที่ตะโกนสาปแช่งเดม่อนสปิริตจนเขาจากไป เธอก็จะพูดกับตัวเองตลอดวันที่เหลือ แต่เธอไม่ได้พูดความลับอะไรออกมา
ผู้หญิงคนนั้นใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวิจัยเรื่องราวของยีน เธอใช้วิชาจีโนหลายวิชาเพื่อทดลองและปรับแต่งมัน
เธอลองหลายต่อหลายวิธี แต่มันก็ไม่มีวิธีไหนที่ดูจะได้ผล
ขณะที่ผู้หญิงคนนั้นเขียนลงไปในสมุดบันทึก หานเซิ่นก็เห็นเรื่องราวของยีนฉบับสมบูรณ์ หลังจากที่ตรวจดูคร่าวๆ เขาก็ยืนยันได้ว่ามันเป็นวิชาจีโนตัวเดียวกับที่เขาฝึกจริงๆ
แต่มันมีความแตกต่างกันอยู่ เนื่องจากผู้หญิงคนนี้ได้ทำการปรับแต่งเรื่องราวของยีนมาโดยตลอด เนื้อหาบางส่วนของวิชาจีโนจึงล้ำหน้ากว่าฉบับของหานเซิ่น
แต่มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากนัก เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวของยีนถูกคิดค้นจนเสร็จสมบูรณ์เมื่อนานมาแล้ว แต่เนื่องจากการฝึกเรื่องราวของยีนในฉบับดั้งเดิมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การปรับแต่งจึงเป็นสิ่งจำเป็น
นอกเหนือจากฉบับดั้งเดิมแล้ว ผู้หญิงคนนี้ยังได้ทดลองฉบับที่แตกต่างกันออกไปหลายร้อยแบบ เธอได้ทำให้แต่ละฉบับมีเอกลักษณ์ของตัวเองโดยหวังที่จะหาวิชาจีโนรูปแบบใหม่ที่เหนือกว่าฉบับดั้งเดิม แต่ในที่สุดแล้วมันก็ไม่มีความพยายามไหนที่ประสบความสำเร็จ ฉบับปรับปรุงทุกฉบับเป็นการทดลองที่ล้มเหลวทั้งหมด
ตัวหานเซิ่นเองก็ได้ฝึกเรื่องราวของยีน ในตอนแรกที่เขาเริ่มฝึกมัน ระดับความแข็งแกร่งของเขาต่ำเกินกว่าที่จะฝึกวิชาได้ แต่ด้วยการช่วยเหลือของชุดเกราะคริสตัลสีดำ เขาก็สามารถฝึกเรื่องราวของยีนได้สำเร็จ
หานเซิ่นเคยปรึกษาศาสตราจารย์ไป๋อี้ซานเกี่ยวกับวิชาจีโนนี้และได้รู้ว่ามันไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตธรรมดาจะฝึกเรื่องราวของยีนได้ เนื่องจากคุณสมบัติที่จำเป็นนั้นเป็นอะไรที่น่าสับสนเกินกว่าจะเข้าใจได้ ทางเดียวที่จะเรียนรู้มันได้ก็คือการมีร่างกายที่สมบูรณ์แบบดั่งเทพ แต่คนปกติมีข้อบกพร่องในร่างกายตัวเอง และข้อบกพร่องเพียงแค่นิดเดียวก็จะทำให้ไม่สามารถเรียนรู้มันได้
หานเซิ่นมองดูผู้หญิงคนนั้นทำการวิจัยอยู่ทุกวัน ถึงแม้การวิจัยของเธอจะไม่ได้คืบหน้าอะไร แต่หานเซิ่นก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวของยีนอย่างลึกซึ้งมากขึ้น
มันมีหลายเรื่องที่เขายังไม่เข้าใจในอดีต แต่ตอนนี้พวกมันกระจ่างแจ้งขึ้นมา
ในขณะที่หานเซิ่นกำลังเพลิดเพลินกับความรู้ใหม่นี้ ผู้หญิงคนนั้นก็เดินออกไปจากบ้านไม้ เธอตรงเข้าไปที่บ่อน้ำที่อยู่ในสวน เธอย่อตัวลงและดูเหมือนว่าเธอกำลังจะดื่มน้ำ แต่เมื่อเธอเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง เธอก็หยุดชะงักไป
“โอ้ไม่นะ!” หานเซิ่นได้รับความตกใจอย่างกะทันหัน