หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไร เขารีบหันหน้าไปตามเสียงนั่นพร้อมกับเปิดใช้อาณาเขตของเขา
หานเซิ่นเห็นผู้หญิงชุดเหลืองยืนอยู่ไม่ไกลจากเขา ตอนนี้พลังชีวิตของเธอดูแข็งแกร่งอย่างมาก เธอดูเหมือนกับผู้หญิงที่อยู่ในบ้านไม้นั่นไม่มีผิด เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือผู้หญิงคนเดียวกับที่นอนอยู่บนพื้นเมื่อครู่นี้
“อะไรกัน? พวกเราแยกกันแค่แปปเดียว เจ้าก็ลืมข้าแล้วอย่างนั้นหรอ?” ผู้หญิงชุดเหลืองยิ้ม
หานเซิ่นเปิดปากเพื่อจะถามผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า แต่ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าผู้หญิงในบ้านไม้บอกเขาว่าห้ามพูดโดยเด็ดขาด ด้วยเหตุนั้นเขาจึงปิดปากของตัวเองลงและเพียงแค่มองไปที่เธอ
ผู้หญิงชุดเหลืองหัวเราะและพูด “เจ้าระมัดระวังเกินไปแล้ว ข้าแค่บอกว่าอย่าพูดในตอนที่เจ้าพบกับแสงนำทางนั่น แต่ตอนนี้เมื่อข้าเป็นอิสระแล้ว เจ้าพูดได้อย่างอิสระ”
หานเซิ่นยังคงไม่พูดอะไร เขาจ้องมองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าและอึ้งกับความเหมือนกันระหว่างพวกเธอทั้ง 2 นอกจากเสื้อผ้าที่แตกต่างกันแล้ว พวกเธอดูเหมือนกันไม่มีผิด
หานเซิ่นอยากจะถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาไม่กล้าพูดออกมา เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่และตัดสินใจเขียนคำพูดด้วยมีดเขี้ยวผีสิงแทน
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
“เจ้านี่ระมัดระวังตัวจริงๆ” ผู้หญิงชุดเหลืองหัวเราะ
“นี่เป็นร่างกายจริงๆของข้า มันถูกกักขังเอาไว้ที่นี่ ที่เจ้าพบก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาที่มีจิตวิญญาณของข้าสิงอยู่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าจะมีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ได้ยังไง? มันมีสิ่งมีชีวิตจากยุคสมัยของเซเคร็ดไม่มากนักที่ยังคงมีชีวิตอยู่ และไม่ว่าใครที่อยู่มานานขนาดนี้ พวกเขาจะต้องใช้วิชาต้องห้ามบางอย่าง”
หานเซิ่นเขียนคำพูดลงบนพื้นอีกครั้ง “เจ้าฝังร่างกายของตัวเองเอาไว้ที่นี่อย่างนั้นหรอ?”
ผู้หญิงชุดเหลืองเบะปาก “ข้าไม่คิดจะทำร้ายตัวเอง อย่างนั้นทำไมข้าถึงต้องเอาร่างกายของตัวเองมาฝังเอาไว้ที่นี่? ที่ร่างกายของข้าถูกกักขังเอาไว้ที่นี่ก็เพราะมีใครบางคนทำแบบนี้กับข้า แต่เพราะอย่างนั้นมันก็ทำให้ร่างกายของข้ายังดูเหมือนเมื่อก่อนและไม่ได้แก่ลง”
“ทำไมถึงไม่หาคนอื่นมาเอาร่างกายของเจ้าไปก่อนหน้าข้า?” หานเซิ่นถามด้วยการเขียนลงบนพื้น
“นี่เจ้าถามเสร็จหรือยัง? ถ้าเจ้าไม่ต้องการจะไปจากที่นี่ นั่นก็ไม่เป็นไร แต่ข้าจะไปแล้ว” ผู้หญิงชุดเหลืองพูด หลังจากนั้นเธอก็เดินลงจากภูเขาโดยเมินเฉยต่อหานเซิ่น
หานเซิ่นเกือบจะตัดยอดเขาจนขาดแล้ว แต่ผู้หญิงชุดเหลืองกำลังเดินลงไปจากภูเขาอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเธอมีเจตนาที่จะออกไปจากที่นี่ หานเซิ่นไม่รู้ว่าควรจะทำงานต่อให้เสร็จหรือตามเธอไปดี
หานเซิ่นกัดฟันและเลิกสนใจผู้หญิงที่กำลังออกไปจากเกาะ เขาตัดสินใจที่จะลงมือขุดภูเขาต่อไป
ผู้หญิงชุดเหลืองเดินไปในทิศทางของแสง และเมื่อเธอไปถึงมัน แสงนั่นก็บินเข้ามาอยู่ในมือของเธอ หลังจากนั้นผู้หญิงชุดเหลืองก็เคลื่อนที่ออกไปจากเกาะ
แสงนั่นนำทางเขามาที่นี่ และถ้าผู้หญิงชุดเหลืองจากไปพร้อมกับแสงนั่น หานเซิ่นก็ไม่รู้ว่าเขาจะยังไปจากที่นี่ได้ไหม
หานเซิ่นไม่ใช่นักบุญ และเขาก็ไม่ได้ใกล้ชิดอะไรกับผู้หญิงในบ้านไม้นั่น เขาไม่คิดจะมอบชีวิตของตัวเองให้กับเธอ
หานเซิ่นกัดฟันและรีบตามผู้หญิงชุดเหลืองออกไปจากเกาะ
หานเซิ่นส่ายหัวแต่ไม่ได้พูดอะไร เขามองไปที่มือของผู้หญิงชุดเหลืองและเห็นว่าเธอยังคงถือแสงอยู่
หานเซิ่นเคลื่อนที่เข้าไปใกล้ๆและสังเกตเห็นว่าแสงนั่นจริงๆแล้วเป็นตะเกียงสีแดง ผู้หญิงชุดเหลืองถือตะเกียงสีแดงเอาไว้ขณะที่เดินทางผ่านหมู่เมฆไป
เธอสวมชุดสีเหลือง แต่เธอนั้นเท้าเปล่า ด้วยแสงสีแดงของตะเกียงที่ส่องออกไปรอบๆ ขณะที่เธอบินออกไป เธอจึงดูแปลกมากๆ
หานเซิ่นตามหลังเธอไปติดๆ แต่เขายังไม่ได้พูดอะไร ผู้หญิงชุดเหลืองถือตะเกียงเอาไว้ขณะที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ในจังหวะที่หานเซิ่นกำลังสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้รู้ไหมว่ากำลังไปที่ไหน บางสิ่งที่สว่างไสวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา พวกเขาเคลื่อนที่ออกไปจากเมฆและไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง
เนื่องจากเขายังมองไม่เห็นยอดของภูเขา เขาจึงไม่รู้ว่าเกาะที่เห็นเป็นเกาะเดียวกับที่มีบ้านไม้อยู่บนยอดเขาหรือเปล่า
ผู้หญิงชุดเหลืองเริ่มเดินขึ้นไปบนภูเขา และหานเซิ่นก็ตามเธอไปอย่างเงียบๆ เมื่อพวกเขาเดินขึ้นมาได้ครึ่งทาง หานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่าภูเขาลูกนี้ไม่มียอดอยู่ แต่มันมีบ้านไม้และสวนอยู่บนภูเขาลูกนี่
‘นี่พวกเรากลับมาที่เดิมอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
ผู้หญิงชุดเหลืองเดินเข้าไปในสวนและตรงไปที่บ้านไม้ หานเซิ่นตามเธอเข้าไปในบ้าน
หานเซิ่นคิดว่ามันมีบางสิ่งปกติ ผู้หญิงในบ้านไม้นั่นรักความสะอาดและเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเข้ามาในสวนของเธอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเดินเข้าไปในบ้าน
แต่ตอนนี้หานเซิ่นสามารถตามผู้หญิงชุดเหลืองเข้าไปในบ้านไม้ และเธอก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ นั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกหวาดระแวง
‘นี่เธอคือผู้หญิงคนนั้นจริงๆอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นขมวดคิ้วขณะที่มองไปรอบๆบ้านไม้
ทั้งชั้น 1 และชั้น 2 ของบ้านไม่มีใครคนอื่นอยู่ นอกจากผู้หญิงชุดเหลืองที่กำลังถือตะเกียง หานเซิ่นหยิบปากกาขึ้นมาและเขียนลงบนกระดาษ
“ตุ๊กตาโคลนของเจ้าไปไหนแล้ว?”
หานเซิ่นจ้องมองเธออย่างตั้งใจเพื่อดูปฏิกิริยาของเธอ เขาไม่ได้ต้องการคำตอบจากเธอจริงๆ แต่เขาต้องการดูปฏิกิริยาของเธอ
ผู้หญิงคนนั้นมองที่กระดาษและพูด “ร่างกายที่แท้จริงของข้าเป็นอิสระแล้ว ดังนั้นร่างโคลนของข้าจึงไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป”
‘แปลกจริงๆ’ หานเซิ่นคิด ผู้หญิงชุดเหลืองคนนี้ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรที่เขาใช้ปากกาและกระดาษของเธอ นั่นทำให้เขารู้สึกสงสัยยิ่งขึ้นไปอีก
หานเซิ่นมองหนังสือหินและพบว่ามันยังคงถูกปิดผนึกเอาไว้ เขาลังเลที่จะทำ แต่เขายื่นหนังสือนั่นให้กับเธอและเขียนลงบนกระดาษว่า “ช่วยข้าปลดผนึกหนังสือเล่มนี้หน่อยได้ไหม?”
“ทำไมข้าถึงต้องช่วยเจ้าด้วย?” ผู้หญิงชุดเหลืองถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
เมื่อได้ยินแบบนั้น หานเซิ่นก็แน่ใจแล้วว่าผู้หญิงชุดเหลืองคนนี้เป็นตัวปลอม เธอเป็นคนที่มอบหนังสือหินนี่ให้กับเขา ถ้าผู้หญิงชุดเหลืองนี่เป็นตัวจริง เธอก็ควรจะจำหนังสือนี่ได้ และเธอก็คงจะไม่พูดอะไรแบบนั้นออกมา
‘เราจะทำยังไงต่อไปดี?’ หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขารู้แล้วว่าผู้หญิงชุดเหลืองคนนี้เป็นตัวหลอม แต่เขาไม่แน่ใจว่าควรจะทำอะไรต่อไปดี
หานเซิ่นไม่ได้สนใจว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นใคร เธอจะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมนั้นมันไม่ได้สำคัญกับเขา
แต่เขาไม่ต้องการจะจากที่นี่ไปทั้งๆแบบนี้ ความลับที่เขาแสวงหามานานมาอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว และเขาก็ไม่คิดจะปล่อยให้มันหลุดมือไป
ขณะที่หานเซิ่นพยายามคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำต่อไป ทันใดนั้นหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงคำรามของมังกร มีมังกรสีม่วงตัวใหญ่ยักษ์บินมาอยู่บนท้องฟ้าเหนือเกาะ
บนหลังของมังกรตัวนั้นมีชายชาวเอ็กซ์ตรีมคิงยืนอยู่