ภายใต้พลังอาณาเขตของเสือดำ วัตถุที่เหมือนกับไข่ก่อตัวและกักขังหานเซิ่นเอาไว้
หานเซิ่นพยายามจะใช้กายหยกเพื่อทำลายอาณาเขตของเสือดำ แต่เขาสังเกตเห็นว่าความมืดมิดที่กักขังเขาอยู่นั้นน่าสะพรึงกลัวกว่าที่คิดเอาไว้ เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แม้แต่นิดเดียว
“นี่มันอาณาเขตอะไรกัน?” หานเซิ่นรู้สึกแปลกๆ แต่เขาไม่ได้กังวลอะไรมากนัก อาณาเขตนี้ดูเหมือนจะกลืนกินอาณาเขตของคนอื่นเพื่อเสริมพลัง แต่มันไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆต่อเขา ทั้งหมดที่มันทำก็คือกักขังเขาเอาไว้ในความมืดมิด
ถ้าหานเซิ่นต้องการจะหนีออกไปจริงๆ เขาก็สามารถใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดเพื่อออกไปจากความมืดมิดนี้ได้
“เป็นอะไรไป หานเซิ่น? ตอนนี้เจ้าไม่อวดดีแล้วหรอ?” เหล่าราชันหัวเราะออกมา
อาณาเขตของเสือดำอาจจะกักขังหานเซิ่นเอาไว้ แต่มันไม่ได้กันเสียงจากภายนอก หานเซิ่นสามารถได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันอย่างชัดเจน
“อาณาเขตนี้ไม่เลวเลย มันมีชื่อว่าอะไร?” หานเซิ่นถาม
เมื่อเหล่าราชันได้ยินคำถาม ครึ่งเทพที่พูดกับหานเซิ่นก่อนหน้านี้ก็พูดขึ้นมา
“นี่คืออาณาเขตแห่งราชันแบล็คบิ๊กสกายของบิ๊กสกายคิง มันกลืนกินพลังอาณาเขตของพวกเรากว่า 20 คนเข้าไปเพื่อจะกักขังเจ้า และถึงแม้เลอตู้จะมาอยู่ที่นี่ พวกเราก็จะกักขังเขาเอาไว้ในนั้นร่วมกับเจ้า”
“ถ้านั่นเป็นความจริง ทำไมพวกเจ้าไม่จับข้าตั้งแต่ตอนที่ข้าอยู่เลอตู้ล่ะ?” หานซิ่นถาม
“พวกเราไม่อยากจะล่วงละเมิดผู้ปกครองของเดสทรอยเยอร์” ครึ่งเทพคนนั้นตอบ
“พวกเราไม่มีความจำเป็นต้องพูดกับเขาอีก! รีบพาตัวเขาไปส่งให้กับทางเอ็กซ์ตรีมคิงเพื่อรับรางวัล” ครึ่งเทพอีกคนพูดขึ้นมา
หานเซิ่นรู้สึกว่าความมืดมิดเริ่มจะเคลื่อนที่ เขารู้ว่าเหล่าราชันกำลังเคลื่อนย้ายเขาออกไปจากระบบเทียนเซีย
หานเซิ่นพยายามจะใช้อาณาเขตตงเสวียนเพื่อสังเกตอาณาเขตอันมืดมิดนี้อย่างละเอียด เขาสังเกตเห็นว่าสสารที่ประกอบเป็นอาณาเขตอันมืดมิดนี้เหนียวแน่นจนเกือบจะเหมือนกับโซ่สสาร
‘นี่เป็นอาณาเขตที่ทรงพลังมากๆ บางทีเสือดำตัวนี้อาจจะใกล้เป็นระดับเทพเจ้าเต็มทีแล้ว’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
อาณาเขตสีดำนั้นดูดซับอาณาเขตของคนอื่นเพื่อกลายเป็นอะไรที่แข็งมากๆ หานเซิ่นลองใช้ท่าตบขั้นสุดยอด แต่เขาก็ไม่สามารถทำลายมันได้ เขาตัดสินใจที่จะพักเบรกสักหน่อย เขาพักฟื้นพลังงานของตัวเองก่อนที่จะลองพยายามทำลายมันอีกครั้ง
เหล่าราชันดูตื่นเต้นมากๆขณะที่พวกเขาพยายามลากอาณาเขตที่เหมือนกับไข่ออกไปจากระบบเทียนเซีย แต่ไม่นานหลังจากนั้นหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา
เสียงกรีดร้องนั้นเป็นของครึ่งเทพที่พูดกับเขาก่อนหน้านี้
หลังจากเสียงกรีดร้องนั้น หานเซิ่นก็ได้ยินบางสิ่งที่ฟังดูเหมือนกับการฉีกขาดของมิติ หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบสนิทไป หานเซิ่นพยายามจะเงี่ยหูฟัง แต่เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรอย่างอื่นอีก
‘แปลกจริงๆ ถึงแม้พวกเขาจะเจอกับศัตรูเข้า พวกเขาก็ควรจะพูดอะไรบางอย่าง ทำไมมันถึงมีเพียงแค่เสียงกรีดร้องครึ่งเดียวและเงียบสนิทไป? นี่พวกเขาทุกคนถูกฆ่าตายก่อนที่จะได้ส่งเสียงอะไรอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
ขณะที่หานเซิ่นกำลังคำนึงถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่เหมือนกับการแตกร้าวของหิน หลังจากนั้นก็มีลำแสงตัดผ่านความมืดที่กักขังตัวเขาเข้ามา วัตถุสีดำที่เหมือนกับไข่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และหานเซิ่นก็ถูกปล่อยเป็นอิสระ
สิ่งหานเซิ่นเห็นต่อไปนั้นทำให้เขารู้สึกแปลกใจอย่างมาก เลอตู้กำลังลอยตัวอยู่ตรงหน้าและมองมาที่เขาอย่างสงบนิ่ง
หานเซิ่นไอกลบเกลื่อนและพูด “ข้ากลัวว่าเจ้าจะเอาชนะราชาหกแฟรี่ผีเสื้อไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าควรจะหนีไปให้ไกลที่สุด”
หานเซิ่นต้องการให้คนพวกนั้นพาเขาไปให้ไกลจากเลอตู้ แต่ดูเหมือนว่าแผนการนั้นจะไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่เขาหวังเอาไว้
“ไปกันเถอะ” เลอตู้พูดเพียงแค่นั้นและเริ่มบินออกไป
หานเซิ่นต้องติดตามเลอตู้ไปอีกครั้งหนึ่ง แต่ขณะที่พวกเขาบินไป หานเซิ่นก็คิดกับตัวเอง ‘ทำไมเขาถึงหาตัวเราเจอได้เร็วนัก? ถึงแม้เขาจะเอาชนะราชาหกแฟรี่ผีเสื้อได้อย่างง่ายดาย แต่เราก็จงใช้เส้นทางที่ยากที่จะติดตาม ซึ่งในระบบเทียนเซียนั้นซับซ้อนอย่างกับเขาวงกต แต่ทำไมเขาถึงรู้ตำแหน่งของเราได้ในเวลาอันสั้น?’
หานเซิ่นรู้ว่าตัวเองมองข้ามอะไรบางอย่างที่สำคัญไป เขารีบใช้ออร่าตงเสวียนเพื่อตรวจเช็คร่างกายของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตัวว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับหนึ่งในนิ้วมือของเขา
ผิวบนนิ้วมือของเขาปกติดี แต่ที่กระดูกนิ้วมือข้างซ้ายของเขามีเครื่องหมายที่มีรูปร่างเหมือนกับลูกอ๊อดอยู่ เครื่องหมายนั่นเล็กมากๆและมันก็ไม่ได้ปลดปล่อยพลังใดๆออกมา ซึ่งก่อนหน้านี้หานเซิ่นไม่เคยสังเกตได้ถึงการมีอยู่ของมันเลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าเขาไม่ได้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติและใช้ออร่าตงเสวียนสแกนร่างกายของตัวเองล่ะก็ เขาก็คงจะไม่สังเกตเห็นเครื่องหมายสีเทาบนกระดูกนิ้วมือของเขา
หานเซิ่นจำได้ว่ากระดูกนิ้วมือหักในตอนที่เขาแลกหมัดกับเลอตู้ ซึ่งเครื่องหมายนี้คงจะถูกแฝงเข้ามาอยู่บนกระดูกของเขาในระหว่างการแลกหมัดกัน
‘นี่สินะที่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาวางใจและไม่ได้มัดตัวเราเอาไว้ มันเป็นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเขาจะตามรอยเราได้’ ความคิดที่ว่าถูกจับตามองไม่ว่าจะไปที่ไหนนั้นทำให้หานเซิ่นรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
แต่เครื่องหมายนั่นไม่ได้ทำให้หานเซิ่นกังวลมากนัก มันเป็นอะไรที่ง่ายที่จะลบล้างออกไป ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด
แต่หานเซิ่นยังคงไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้นในตอนนี้ เขาแกล้งทำเป็นว่ายังไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเครื่องหมายนี้และตามหลังเลอตู้ต่อไป
“เลอตู้ นี่เจ้าฆ่าราชาหกแฟรี่ผีเสื้อพวกนั้นอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามขณะที่บินมาด้านข้างของเลอตู้
เลอตู้พูดขึ้นมา “ข้าไม่ใช่คนขายเนื้อ ข้าจะไม่ฆ่า เมื่อไม่มีความจำเป็น”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วอาจารย์ของเจ้าล่ะ? เจ้าคงจะต้องมีเหตุผลที่ฆ่าเขา” หานเซิ่นถาม
อารมณ์ความรู้สึกแว็บขึ้นบนใบหน้าของเลอตู้ แต่มันกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “นั่นไม่ใช่ธุระอะไรของเจ้า”
“ถ้าอย่างนั้นก็บอกสิ่งที่เป็นธุระของข้า ทำไมเจ้าถึงพาข้าไปมอบให้เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง? ข้าไม่คิดว่าคนอย่างเจ้าจะสนใจรางวัลของพวกเขา” หานเซิ่นพูด
“มันมีดาบอยู่เล่มหนึ่ง” เลอตู้เป็นคนที่น่าพูดคุยด้วย เขาไม่ได้เหมือนกับฆาตกรที่สังหารอาจารย์ของตัวเองอย่างที่ตำนานกล่าวเอาไว้ หานเซิ่นจินตนาการว่าคนแบบนั้นจะเป็นคนที่ยากจะพูดคุยด้วย แต่มันดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น
“ดาบนั่นมีค่ามากขนาดนั้นเลยหรือยังไง? ถ้าเจ้าต้องการอาวุธ ข้าจะมอบอาวุธระดับเทพเจ้าให้กับเจ้าก็ได้” หานเซิ่นต้องการจะรู้เกี่ยวกับเลอตู้มากขึ้น
“ข้าต้องการแค่ดาบเล่มนั้น” เลอตู้พูดขณะที่บินต่อไปข้างหน้า เขาไม่ได้หันมามองหานเซิ่น
“ดาบเล่มนั้นที่เจ้าต้องแลกชีวิตของคนๆหนึ่งคงจะเป็นอะไรที่พิเศษมาก ทำไมเจ้าไม่บอกข้ามาว่าดาบเล่มนี้มีความพิเศษยังไง?” หานเซิ่นถาม
เลอตู้ไม่ตอบ มันเห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดจะบอกอะไรเกี่ยวกับดาบเล่มนั้นให้หานเซิ่นรู้
หานเซิ่นกำลังจะพูดอะไรอย่างอื่น แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกำลังวิ่งผ่านก้อนเมฆเข้ามาทางพวกเขา มันฟังดูเหมือนกับเสียงฝีเท้าของม้านับพันที่กำลังวิ่งเข้ามาพร้อมๆกัน หานเซิ่นเงยหน้าขึ้นและเห็นกลุ่มยูนิคอร์นออกมาจากหมู่เมฆ พวกมันดูเหมือนกับทะเลสีขาวที่ไร้ที่สิ้นสุด
อารมณ์ทั้งหมดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเลอตู้ เขาพูดกับหานเซิ่น
“ปกป้องตัวเอง”