หานเซิ่นและเลอตู้ทำการค้นหาเป็นวงกลม แต่พวกเขาก็ยังไม่พบวี่แววของวาฬขาว หานเซิ่นรู้สึกกังวลอย่างมาก
ในตอนนี้หานเซิ่นอยากจะฝึกหนึ่งในวิชาของกุนซือไวท์ แบบนั้นเขาก็จะสามารถคำนวณหาตำแหน่งที่เป่าเอ๋อเดินทางไปได้ เพียงแค่รู้ทิศทางก็เป็นอะไรที่มากพอแล้ว เพราะในตอนนี้ไม่ว่าอะไรมันก็ดีกว่าการวิ่งไปรอบๆเหมือนกับไก่ไร้หัว
ในขณะที่ยูนิคอร์นเทียนเซียทะยานผ่านก้อนเมฆ พวกเขาก็เห็นคนๆหนึ่งปรากฏตัวออกมา คนๆนั้นคือเหมิงเลี่ยญาติพี่น้องของกษัตริย์เอ็กซ์ตรีมคิง
“หานเซิ่น พวกเราพบกันอีกครั้ง”
เหมิงเลี่ยหนีเอาตัวรอดเมื่อผู้หญิงชุดเหลืองขโมยมังกรปีศาจเอ็กซ์ตรีมเพอเพิลของเขาไป หานเซิ่นคิดว่าเขาคงจะหนีออกไปจากระบบเทียนเซียเรียบร้อยแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น
“เจ้าควรไปซะ” เลอตู้พูดกับหานเซิ่นขณะที่เขาจ้องไปที่เหมิงเลี่ย
หานเซิ่นหนีไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ที่เลอตู้บอกให้หานเซิ่นไป นั่นเป็นเพราะเลอตู้ไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถหยุดเหมิงเลี่ยได้ ถ้าหานเซิ่นยังอยู่ต่อ เขาก็จะกลายเป็นภาระของเลอตู้ ถ้าเลอตู้ต่อสู้ตามลำพัง เขาสามารถหนีเอาตัวรอดได้ ถ้าเขาสู้เหมิงเลี่ยไม่ไหว
เหมิงเลี่ยเริ่มจะไล่ตามหานเซิ่นไป แต่เลอตู้หยุดเขาเอาไว้
“เลอตู้ เจ้าต้องการจะกลายเป็นศัตรูกับเอ็กซ์ตรีมคิงจริงๆอย่างนั้นหรอ?”
“ข้าบอกเขาว่าข้าจะปล่อยเขาออกไปจากที่นี่” เลอตู้พูดอย่างไร้ความรู้สึก “นี่คือสิ่งที่ข้าจะทำ”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็มาดูกันว่าเจ้าจะมีความสามารถพอหรือเปล่า”
สีหน้าของเหมิงเลี่ยเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นสีทอง ขณะที่เขาส่งฝ่ามือไปทางเลอตู้ ฝ่ามือนั้นดูเหมือนจะปกคลุมทั้งท้องฟ้า
หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงพลังที่เหมือนกับคลื่นกระแทกลูกยักษ์ที่ซัดเข้ามาจากด้านหลัง นั่นทำให้เขารีบบินหนีไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
โชคดีที่พลังของคลื่นกระแทกสลายไปเกือบหมดแล้วในตอนที่มันมาถึงตัวเขา หานเซิ่นใช้โมเมนตัมของคลื่นกระแทกเพื่อเสริมความเร็วของตัวเอง ทำให้เขาหายเข้าไปในก้อนเมฆอย่างรวดเร็ว
‘เราต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน? หลังจากที่เราพบเป่าเอ๋อ เราจะไปที่ปราสาทนภา หวังว่าพวกเขาจะยอมรับเราเข้าไป เราจำเป็นต้องหาใครสักคนคอยปกป้องเราจากเอ็กซ์ตรีมคิงจนกระทั่งเรากลายเป็นระดับเทพเจ้า’
หานเซิ่นคิดกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา ‘อาณาเขตแห่งราชันของโลหิตชีพจรนั้นแปลกเกินไป เราผลักดันฟันเฟืองจักรวาลของคนอื่นได้ แต่ดูเหมือนว่าจะใช้มันกับตัวเองไม่ได้’
หานเซิ่นไม่รู้ทิศทางที่จะไปหาเป่าเอ๋อ และเขาก็จำเป็นต้องอยู่ให้ห่างจากการต่อสู้ระหว่างเลอตู้และเหมิงเลี่ย
หลังจากที่หนีไปได้ไม่นาน หานเซิ่นก็ไปถึงบริเวณที่มีก้อนเมฆหลายก้อนเชื่อมต่อกัน ตรงหน้าเขาก็คือทะเลเมฆสีขาวเหมือนกับน้ำนม ก้อนเมฆแต่ละก้อนนั้นดูเหมือนกับนมที่ลอยอยู่บนอากาศ
หานเซิ่นบินเข้าไปหามันอย่างไม่ลังเล แต่ในตอนที่เขาพยายามบินเข้าไปในหนึ่งในก้อนเมฆ เขากลับเด้งออกมาแทน
หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ ก้อนเมฆของระบบเทียนเซียนั้นหนากว่าปกติก็จริง แต่พวกมันไม่หนาพอที่จะหยุดเขา มีเพียงแค่คลาวด์บีสต์เท่านั้นที่จะอัดแน่นจนเขาไม่สามารถผ่านเข้าไปได้แบบนี้
แต่หานเซิ่นบินอย่างรวดเร็วขนาดที่ ถ้าเขาชนเข้ากับคลาวด์บีสต์ ร่างกายของพวกมันก็จะถูกเขาฉีกขาด แต่ก้อนเมฆขาวน้ำนมนี้กลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิดเดียว และมันก็ยังเด้งเขากลับอีก
“นี่เราไปชนกับคลาวด์บีสต์ระดับสูงเข้าอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นคิดขณะที่มองไปที่ก้อนเมฆนั้น
แต่ก้อนเมฆไม่ตอบสนองอะไร มันแค่ลอยอยู่ที่เดิมเหมือนกับก้อนเมฆอื่นๆ
หานเซิ่นไม่สามารถมองเห็นอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับก้อนเมฆนี้ เขาลังเลในตอนแรก แต่ในที่สุดแล้วเขาก็ตัดสินใจบินรอบๆก้อนเมฆเพื่อตรวจดูมันอย่างละเอียด เขายังยื่นมือออกไปเพื่อสัมผัสมัน
ก้อนเมฆนั้นอ่อนนุ่มมาก เมื่อหานเซิ่นสัมผัสกับมัน มันก็ยุบเข้าไปข้างใน แต่เมื่อหานเซิ่นชนเข้ากับมันด้วยความเร็วสูงสุดก่อนหน้านี้ ก้อนเมฆนั้นรู้สึกเหนียวมากๆ มันเหมือนกับเอ็นของเนื้อวัว
แต่ไม่ว่าหานเซิ่นจะสัมผัสมันมากแค่ไหน ก้อนเมฆก็ไม่ตอบสนองอะไร มันดูเหมือนกับวัตถุที่ไม่มีชีวิต
“ก้อนเมฆนี้ดูเหมือนกับของเหลวแบบนอนนิวโตเนียน”
หานเซิ่นปัดเป่าก้อนเมฆอื่นรอบๆออกไป และเขาพบว่าก้อนเมฆประหลาดนั้นมีความกว้างเพียงแค่ 20 เมตร นอกจากความจริงที่มันขาดพลังชีวิตและลักษณะแบบนอนนิวโตเนียนแล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
“ทำไมถึงได้มีเมฆแบบนี้อยู่ท่ามกลางก้อนเมฆอื่น?” หานเซิ่นรู้สึกสับสน เขามองไปที่ก้อนเมฆใกล้เคียงอยู่สักพัก ก่อนที่เขาจะยื่นมือเข้าไปในก้อนเมฆนั้นและดันร่างกายทั้งร่างเข้าไปข้างในอย่างช้าๆ
ในตอนที่อยู่ข้างนอก หานเซิ่นมองไม่เห็นอะไร ถึงแม้จะใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงก็ตาม ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจจะเข้าไปดู
ร่างกายของหานเซิ่นเคลื่อนที่เข้าไปอย่างช้าๆ เขาคลืบคลานไปข้างหน้าด้วยความเร็วของหอยทาก หลังจากที่เข้าไปข้างในได้ 7 ถึง 8 เมตร จู่ๆหานเซิ่นก็รู้สึกว่าพื้นที่ตรงหน้านั้นว่างเปล่า และมือของเขาก็ทะลุผ่านก้อนเมฆออกไปข้างนอก
“มันมีบางสิ่งอยู่ที่นี่” หานเซิ่นรู้สึกดีใจ ก้อนเมฆนี้มีความกว้าง 20 เมตร และเขาเพิ่งเข้ามาได้ 7-8 เมตร ถึงอย่างนั้นมือของเขากลับทะลุออกไปนอกก้อนเมฆ นั่นหมายความว่ามันมีช่องว่างอยู่ที่ใจกลางของก้อนเมฆ
หานเซิ่นผ่านเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่ที่กว้าง 3 เมตร ภายในพื้นที่ที่ว่างเปล่านั้นเขาพบพืชต้นหนึ่ง
มันดูเหมือนกับต้นเศรษฐีเรือนนอก ใบสีเขียวยื่นออกไปทุกทิศทางและมันดูค่อนข้างงดงาม
“แปลงจริงๆ! ทำไมมันถึงมีพืชอยู่ที่นี่ได้?” หานเซิ่นคิดอย่างประหลาดใจขณะสังเกตไปที่พืชนั้น
ต้นเศรษฐีเรือนนอกงดงามเหมือนกับหยกเขียว ใบของมันมีความยาวหนึ่งฟุตและพวกมันก็มีรูปร่างเหมือนกับดาบ มันดูเหมือนกับงานศิลปะที่ถูกแกะสลักขึ้นมา แต่พลังชีวิตของมันดูแข็งแกร่งจนไม่มีใครอยากจะเชื่อว่ามันเป็นวัตถุที่ไม่มีชีวิต
จากที่หานเซิ่นบอกได้ ระบบเทียนเซียไม่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับพืชหรือสิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ พืชจะไม่สามารถงอกขึ้นที่นี่ได้ แต่แล้วกลับมีต้นเศรษฐีเรือนนอกอยู่ตรงหน้าของเขา มันไม่ใช่สิ่งที่หานเซิ่นคาดว่าจะได้พบในตอนที่เข้ามาในก้อนเมฆ
‘มีใครบางคนมาที่นี่และทิ้งมันเอาไว้ในระบบเทียนเซียอย่างนั้นหรอ?’
ขณะที่หานเซิ่นกำลังคิด เมฆสีขาวก็เริ่มจะลอยออกมาจากต้นเศรษฐีเรือนนอก มันลอยขึ้นเหมือนกับฟองสบู่และไปรวมตัวกับเมฆรอบๆ
“ดูเหมือนว่าก้อนเมฆนี้จะเกิดขึ้นมาจากต้นเศรษฐีเรือนนอก นั่นหมายความว่าพืชต้นนี้เป็นพืชท้องถิ่นของระบบเทียนเซีย” หานเซิ่นแปลกใจ
ขณะที่ต้นเศรษฐีเรือนนอกปลดปล่อยเมฆออกมาเพิ่ม หานเซิ่นก็ยื่นมือออกไปเพื่อสัมผัสมัน แต่เมื่อเขาแตะต้องมัน เขาก็พบว่ามันเหมือนกับก้อนเมฆรอบๆ พืชต้นนี้บอบบางถึงขนาดที่ดูเหมือนกับว่าเพียงแค่บีบเบาๆก็พอที่จะบดขยี้มันได้
แต่ถ้าเขาใช้กำลังกับมัน พืชนั้นก็จะเป็นอะไรที่เหนียวและทนทาน
“นี่มันเป็นพืชแบบไหนกันแน่?” ขณะที่หานเซิ่นตรวจดูต้นเศรษฐีเรือนนอกด้วยความสงสัย เขาก็เห็นว่ามันมีไฟสีขาวในใจกลางของพืช