หลังจากที่เจ้ามอนสเตอร์ตัวใหญ่ตายไป พวกงูก็รีบหนีกลับไปในทะเลสีดำอย่างรวดเร็ว
“เจ้าพวกนั้นคืออะไรกันแน่?” หานเซิ่นรู้สึกสับสน เขามองไปที่แส้เหล็กทองแดงสีม่วง แส้เหล็กนี้แปลกประหลาดมากๆ มันดูเหมือนจะส่งผลกระทบต่อเจ้ามอนสเตอร์เท่านั้น มันต้องมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับมัน
ในตอนแรกที่หานเซิ่นเห็นเจ้ามอนสเตอร์ตัวใหญ่ห้อมล้อมไปด้วยงูตัวเล็กๆ เขาก็สันนิษฐานไปว่าพวกมันคือสิ่งมีชีวิตเดียวกัน แต่ถ้านั่นเป็นความจริง แส้เหล็กก็ควรจะสร้างความเสียหายต่อพวกงูเช่นเดียวกันกับที่มันสร้างความเสียหายกับเจ้ามอนสเตอร์ตัวใหญ่
หานเซิ่นพยายามฟันใส่พวกงูหลายต่อหลายครั้ง แต่พวกมันไม่ได้รับผลอะไรจากแสงสีม่วงของแส้เหล็ก
หานเซิ่นมองไปที่เสือขาว มันมีแค่เจ้าเสือขาวเท่านั้นที่น่าจะรู้ถึงความลับของแส้เหล็ก แต่เจ้าเสือขาวดูไม่สนใจที่จะพูดคุยกับหานเซิ่น
ขณะที่พวกงูพากันหนีไป เจ้าเสือขาวก็เริ่มไล่ล่างูที่หลงเหลืออยู่บนเกาะ ขณะที่มันเคลื่อนไหว มันก็ปลดปล่อยฝนเห็ดลงมา เมื่อสปอร์ของเห็ดถูกพวกงู เห็ดก็จะงอกออกมาบนร่างกายของพวกมันและทำการดูดพวกมันจนแห้งเหือดเหมือนกับเปลือกไม้ที่ถูกทิ้งไว้นานๆ
ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็รู้ว่าการฆ่าเจ้ามอนสเตอร์ตัวใหญ่ไปเป็นเรื่องที่ดี แถมเขายังได้รับแส้เหล็กทองแดงสีม่วงนี้มาอีกด้วย
เมื่อพวกเขากำจัดพวกงูไปจนหมด หานเซิ่นก็พยายามจะพูดคุยกับเสือขาวอยู่หลายครั้ง เขาอยากรู้ว่ามันมีทางออกไปจากที่นี่หรือเปล่า และเขาก็อยากจะรู้เกี่ยวกับแส้เหล็กทองแดงสีม่วงอีกด้วย แต่เจ้าเสือขาวแค่ร้องเหมียว 2 ครั้งและส่ายหัว หานเซิ่นไม่สามารถพูดภาษาเสือได้ แต่เขาเข้าใจว่าเจ้าเสือนั้นจะไม่ช่วยอะไรเขา
“นี่มันไม่รู้ หรือมันไม่อยากจะแพร่งพรายความลับกันแน่?” หานเซิ่นมองไปที่เสือขาวและขมวดคิ้ว
แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นเจ้าเสือขาวก็ไม่ได้เป็นปรปักษ์กับพวกเขาอีกต่อไป ตอนนี้มันไม่มีเจตนาจะทำร้ายพวกเขา ในบางครั้งมันจะเข้ามาใกล้ๆเพื่อฟังว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน
หานเซิ่นสังเกตได้ว่าเจ้าเสือขาวดูเหมือนกำลังจับตาดูเขาเป็นพิเศษ ถึงมันจะไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายอะไร แต่การที่สายตาของมันติดตามเขาไปไหนมาไหนนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลก หานเซิ่นไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเจ้าเสือขาวต้องการอะไรกันแน่
สายตาของเสือขาวไม่ได้เป็นปรปักษ์หรือเป็นมิตร วิธีการที่เจ้าเสือขาวมองมาที่หานเซิ่นเป็นอะไรที่คุ้นเคย แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันคุ้นเคยยังไง
“ช่างเถอะ ตราบใดที่มันไม่มายั่วยุเรา…” หานเซิ่นสลัดเจ้าเสือขาวออกไปจากจิตใจ หลังจากที่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้นเขาจึงเทเลพอร์ตกลับไปที่บ้าน ขณะที่กอดจีเหยียนหรันในอ้อมแขน เขาก็หลับไปถึงเช้า
“อ้า!” ก่อนที่หานเซิ่นจะตื่นขึ้นมา เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง มันทำให้เขาตกใจตื่นจากการหลับใหล เขามองไปที่จีเหยีนนหรันและถามขึ้นมา
“ที่รัก เกิดอะไรขึ้น? มีศัตรูบุกมาอย่างนั้นหรอ?”
“นาย…นาย…นาย…” จีเหยียนหรันตะกุกตะกักขณะที่ยืนขึ้นบนเตียงและชี้มาที่หานเซิ่นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เธอพูดว่า “นาย” ซ้ำ 3 ครั้ง แต่เธอไม่สามารถพูดอะไรมากไปกว่านั้น
“เกิดอะไรขึ้น?” หานเซิ่นรีบมองดูร่างกายของตัวเอง
หานเซิ่นกำลังสวมใส่กางเกงขาสั้นและเขาไม่ได้สวมเสื้อ กล้ามเนื้อของเขาเป็นมัดๆ ร่างกายของเขาดูสมบูรณ์แบบ
“มีปัญหาอะไรกับร่างกายของฉัน? ร่างกายของฉันยังคงฟิตปั๋ง นี่ความจริงที่ฉันหล่อขึ้นกว่าเดิมทำให้เธอตกใจอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นโพสท่าต่อหน้าเธออย่างโอ้อวด
“หัว…หัว…หัวนาย…” จีเหยียนหรันชี้ไปที่หัวของหานเซิ่นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ฉันบอกเธอก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่หรอว่าในตอนที่พวกเราเข้าไปในท้องของแมงมุมหลุมดำ มันมีเห็ดงอกขึ้นมาบนหัวของพวกเรา นี่มันงอกกลับมาแล้วอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม หลังจากนั้นเขาก็ใช้มือคำหัวตัวเอง
“นี่มัน…นี่มันอะไรกัน…” หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่อ่อนนุ่ม
หานเซิ่นคิดว่าต้องมีเรื่องไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น เขาเทเลพอร์ตไปตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของจีเหยียนหรันและมองดูตัวเอง
หานเซิ่นจ้องไปที่ภาพสะท้อนของตัวเองอย่างตกตะลึง มันไม่ได้มีเห็ดงอกขึ้นมาบนหัวของเขา แต่มันมีหูจิ้งจอกสีม่วงงอกขึ้นมาแทน
“นี่มันอะไรกัน?” หานเซิ่นตกตะลึง เขาพยายามจะดึงหูจิ้งจอกออกมา แต่เขารู้สึกเจ็บปวดเกินกว่าที่จะดึงพวกมันออกมาได้ หูจิ้งจอกสีม่วงนั้นดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของเขา
“อ้า! หลัง…หลัง…หลังนาย…” จีเหยียนหรันกรีดร้อง ตอนนี้ดวงตาของเธอโฟกัสไปที่ท่อนล่างของหานเซิ่น
หานเซิ่นต้องสะดุ้งอีกครั้ง เขารีบหันไปมองด้านหลังและเห็นหางจิ้งจอกสีม่วง มันนุ่มนิ่มอย่างมาก
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?” หานเซิ่นใช้อาณาเขตตงเสวียนเพื่อตรวจเช็คร่างกาย แต่เขาไม่พบอะไรที่ผิดปกติ มันเหมือนกับว่าตอนนี้หูและหางจิ้งจอกนั้นเป็นส่วนของตัวเขาแล้ว
ดวงตาของจีเหยียนหรันเบิกกว้าง เธอค่อยๆเดินเข้ามาหาขณะที่จ้องมาที่หูและหางจิ้งจอกของหานเซิ่น
“ที่รักไม่ต้องกลัว นี่เป็นแค่ปัญหาเล็กๆ ฉันจะรีบแก้ไขมันเดี๋ยวนี้” หานเซิ่นพูดปลอบจีเหยียนหรัน
“น่ารักอะไรขนาดนี้!” จีเหยียนหรันพูดด้วยท่าทางดีใจ เธอกอดเขาและลูบหูจิ้งจอกของเขา
หลิงเอ๋อได้ยินเสียงเอะอะ เธอขยี้ตาตัวเองขณะที่ลุกขึ้นมา เมื่อเธอเห็นหานเซิ่น เธอก็ดูดีใจ เธอกระโดดขึ้นไปบนหลังของหานเซิ่นและจับหูจิ้งจอกของเขา “พ่อ มันน่ารักมาก!”
“น่ารักอะไรกันล่ะ” หานเซิ่นรู้สึกอัปยศ เขาส่งหลิงเอ๋อให้กับจีเหยียนหรันและหันกลับมาหาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาแค่หลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็เป็นแบบนี้
หานเซิ่นใช้พลังต่างๆเพื่อหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามใช้วิธีไหน เขาก็ไม่สามารถเอาพวกมันออกไปจากร่างกายได้ พวกมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา
ด้วยความแข็งแกร่งทางร่างกายและพลังในการฟื้นตัว ถึงแม้เขาจะใช้กำลังฉีกพวกมันออกมา พวกมันก็จะงอกกลับมาใหม่
“ที่รัก ถ้านายกำจัดพวกมันไปไม่ได้ มันก็ไม่เป็นอะไรที่จะเก็บพวกมันเอาไว้” จีเหยียนหรันพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ ใช่! พ่อควรเก็บพวกมันเอาไว้!” หลิงเอ๋อพยักหน้าเห็นด้วยขณะที่เธอกำลังดื่มนม
“ที่รัก นายไม่ควรทำร้ายร่างกายตัวเอง เก็บมันเอาไว้แบบนี้แหละ” จีเหยียนหรันพูด
“ใช่ ใช่! เก็บพวกมันเอาไว้!” หลิงเอ๋อพยักหน้า
“พ่อแม่ของนายมอบร่างกายนี้ให้กับนาย นายควรจะทะนุถนอนมัน”
“ใช่ ใช่! พ่ออย่าได้ทำอะไรโง่ๆ”
“ไม่ว่านายจะกลายเป็นอะไร พวกเราทั้งคู่ยังรักนาย นายควรจะหยุดแตะต้องพวกมัน”
“ใช่ ใช่! พวกเรารักพ่อ”
พวกเธอทั้ง 2 คนกำลังยิ้มออกมา ขณะที่พยายามโน้มน้าวหานเซิ่น
“แส้เหล็กนั่น…ต้องเป็นเพราะแส้เหล็กทองแดงสีม่วงนั่นแน่ๆ” หานเซิ่นนำแส้เหล็กทองแดงสีม่วงออกมาจากหอคอยแห่งโชคชะตา
แต่มันไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับแส้เหล็ก สัญลักษณ์ของมันไม่ได้เรืองแสงหรือแสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา แต่หานเซิ่นสังเกตได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล หูและหางจิ้งจอกของเขามีสีม่วงเหมือนกับสีของแส้เหล็ก