คนปกตินั้นจะมองไม่เห็นสิบสองหอคอยและห้าเมืองของสถานหยกขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองทั้งห้าเมือง มีเฉพาะคนที่มองเห็นพวกมันเท่านั้นถึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน
หานเซิ่นตามไผ่เดียวดายเข้าไปในเมืองราชาขาว ซึ่งมันแตกต่างไปจากเมืองราชาดำ เมืองราชาขาวเป็นสิ่งก่อสร้างวงกลมขนาดใหญ่ที่คล้ายคลึงกับโคลอสเซียมของกรุงโรม
หลังจากที่ทั้งสองคนเข้าไปข้างใน หานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่ามันเป็นแค่สนามประลองจริงๆ ที่นั่งมากมายล้อมลานประลองที่อยู่ตรงกลางเป็นวงกลม ขณะนี้มันไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากพวกเขาที่อยู่ภายในสนามประลอง มันไม่มีแม้แต่ซีโน่เจเนอิค
“คิดว่าจะมีซีโน่เจเนอิคอยู่ที่นี่ ทำไมมันถึงไม่มีอะไรเลย?”
หานเซิ่นถามขณะที่มองไปรอบๆสนามประลอง เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของอะไรทั้งนั้น
“ซีโน่เจเนอิคที่เคยอยู่ที่นี่เพิ่งจะถูกฆ่าไปเมื่อไม่นานมานี้ และซีโน่เจเนอิคตัวใหม่ก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา รออีกหน่อย พวกมันจะมาที่นี่ในอีกไม่ช้า” ไผ่เดียวดายพูด เขาเดินไปนั่งบนขั้นบันได
หานเซิ่นตามไผ่เดียวดายไปและนั่งลงข้างๆ พวกเขารอคอยให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้นหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงลากโซ่ เขามองไปที่ลานประลองและเห็นว่าประตูของลานประลองเริ่มจะยกขึ้น
เมื่อประตูลานประลองเปิดออก เส้นทางเข้าออกของเมืองราชาขาวก็ถูกปิด
“พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
“เมืองราชาขาวจัดการประลองแบบเดธแมทช์ การประลองจะจบลงก็ต่อเมื่อฝ่ายหนึ่งถูกฆ่า ถ้าเจ้าต้องการจะออกไปจากที่นี่ เจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฆ่าซีโน่เจเนอิคที่เป็นคู่ต่อสู้ของเจ้า” ไผ่เดียวดายพูด
“แต่พวกเราไม่รู้ว่าซีโน่เจเนอิคแบบไหนที่จะออกมา ถ้าเกิดมันเป็นระดับเทพเจ้าล่ะ?” หานเซิ่นถาม
“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าพาเจ้ามาด้วย” ไผ่เดียวดายพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา
“นี่เจ้าหลอกข้า” หานเซิ่นมองไปที่ประตูสนามประลองโดยหวังว่าอะไรก็ตามที่ออกมาจะไม่ใช่ระดับเทพเจ้า
ประตูเปิดขึ้นและเผยทางเข้าสู่อุโมงค์อันมืดมิด หานเซิ่นยังมองไม่เห็นอะไร แต่เขาได้ยินเสียงของฝีเท้า
ไม่นานหลังจากนั้นบางสิ่งก็ปรากฏตัวออกมาให้เห็น มันเป็นสิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเงิน มือของมันถือดาบสีเงิน ดวงตาสีแดงของมันเรืองแสงออกมาจากช่องว่างของหมวก
“ดูเหมือนว่าดวงของพวกเราจะไม่เลวเลย” ไผ่เดียวดายหัวเราะ
“เจ้าเรียกนี่ว่าไม่เลวอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นเห็นโซ่สสารสีเงินส่องประกายรอบๆสิ่งมีชีวิตในชุดเกราะ มันเป็นซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า
“จอมทำลายล้างสีเงินระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟ จากการอ่านของก็อตสปิริตทัช ซีโน่เจเนอิคตัวนี้มีพรสวรรค์ระดับแปดเปลือก ถ้าพวกเราเก็บไข่ซีโน่เจเนอิคของมันได้ บางทีพวกเราก็อาจจะเลี้ยงมันจนถึงขั้นลาร์วา” ไผ่เดียวดายพูด
หานเซิ่นยิ้มแห้งๆออกมา “นี่พวกกำลังเดิมพันชีวิตของตัวเองนะ? ถ้าซีโน่เจเนอิคนั่นเป็นขั้นทรานมิวเมชั่นหรือขั้นลาร์วาเรียบร้อยแล้วล่ะ? แบบนั้นพวกเราก็จะต้องตาย”
“ปราสาทนภาได้ปกครองสถานหยกขาวมาเป็นเวลานานมากๆแล้ว”
ไผ่เดียวดายพูดอย่างใจเย็น “พวกเราได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเมืองราชาขาวอย่างละเอียด สกายแชนซ์ได้ทำการคำนวนว่าซีโน่เจเนอิคประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของที่นี่เป็นระดับราชัน สิบเปอร์เซ็นต์เป็นระดับครึ่งเทพ และอีกสิบเปอร์เซ็นต์เป็นระดับเทพเจ้า มันมีโอกาสต่ำมากๆที่จะได้เจอกับระดับเทพเจ้าขั้นสูง นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่าพวกเราโชคดี มันมีโอกาสต่ำมากๆที่จะได้เผชิญหน้ากับศัตรูแบบนี้ นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการ” ขณะที่ไผ่เดียวดายพูด จอมทำลายล้างสีเงินก็มาอยู่ที่กลางสนามประลองแล้ว จากนั้นมันก็มองมาทางพวกเขา
ก่อนที่หานเซิ่นจะตอบสนองอะไร จอมทำลายล้างสีเงินก็ยกดาบสั้นในมือขึ้นและแทงออกไปในทิศทางของหานเซิ่น หลังจากนั้นโซ่สสารสีเงินก็พุ่งออกไปจากดาบราวกับเข็ม
‘มันมีคนสองคนอยู่ที่นี่ แต่ทำไมมันถึงเลือกโจมตีเราก่อน? นี่เราโชคร้ายถึงขนาดนั้นเลย?’ หานเซิ่นคิด
ปัง!
ดาบแสงสีเงินพุ่งถูกหานเซิ่น และร่างกายของเขาก็ระเบิด แต่ในขณะเดียวกันหานเซิ่นอีกคนก็ปรากฏขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของสนามประลอง เขากำลังถือธนูงูหกคอร์อยู่ในมือ เขาดึงสายธนูและยิงลูกธนูออกไปทางจอมทำลายล้างสีเงิน
หลังจากนั้นไผ่เดียวดายก็เข้าไปรวมกับหานเซิ่นในสนามประลอง ดาบหยกของเขาเรืองแสงออกมาขณะที่เขาฟันใส่จอมทำลายล้างสีเงิน
จอมทำลายล้างสีเงินแกว่งดาบสองครั้ง และในชั่วพริบตาลูกธนูของหานเซิ่นและดาบแสงของไผ่เดียวดายก็ถูกทำลายไป พวกมันไม่แม้แต่จะได้เข้าใกล้จอมทำลายล้างสีเงิน
โซ่สสารของจอมทำลายล้างสีเงินดูเหมือนจะไม่มีการโจมตีในวงกว้าง ดังนั้นหานเซิ่นและไผ่เดียวจึงเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆขณะที่ทำการต่อสู้ พวกเขาวิ่งไปรอบๆเมืองราชาขาวเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของจอมทำลายล้างสีทอง
“นี่มันอะไรกัน? ตอนนี้ดาบของมันเร็วขึ้นกว่าเดิม”
หานเซิ่นพูด เขาไม่สามารถหลบการโจมตีครั้งต่อไปได้พ้น ดาบแสงสีเงินเฉี่ยวใบหน้าของหานเซิ่นไปและเกิดเป็นรอยเลือดบนแก้มของเขา
“โซ่สสารของมันดูเหมือนจะพึ่งพาความเร็ว”
ไผ่เดียวดายพูดขณะที่ปลดปล่อยดาบแสงอีกครั้ง แต่จอมทำลายล้างสีเงินก็แกว่งดาบและทำลายดาบแสงนั่นเช่นกัน
“ฮ่า!” หานเซิ่นใช้มืออีกข้างหนึ่งชักมีดเขี้ยวผีสิงออกมา เขาปลดปล่อยมีดแสงที่ก่อตัวเป็นตาข่ายบนท้องฟ้า เขาเตรียมที่จะดึงพวกมันลงมาใส่จอมทำลายล้างสีเงิน
แต่จอมทำลายล้างสีเงินยังคงแกว่งดาบสั้นอย่างรวดเร็วเพื่อทำลายตาข่ายมีดเส้นไหม นั่นทำให้หานเซิ่นประหลาดใจอย่างมาก
“รวดเร็วอะไรอย่างนี้!” ถึงแม้จะมีสายตาที่ยอดเยี่ยม แต่หานเซิ่นก็มองไม่ทันว่าจอมทำลายล้างสีเงินทำลายตาข่ายมีดเส้นไหมอย่างรวดเร็วขนาดนั้นได้ยังไง
ไผ่เดียวดายตะโกนและดวงตาที่สามบนหน้าผากของเขาก็เปิดออก รูม่านตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงเหมือนกับกลีบของดอกซากูระ
หานเซิ่นจำได้ว่าดวงตานภาของไผ่เดียวดายควรจะเป็นสีแดงล้วนและเต็มไปด้วยจิตสังหารที่น่ากลัว แต่ดวงตาที่สามนั้นเป็นอดีตไปแล้ว ไผ่เดียวดายนั้นเปลี่ยนไปจากเดิม
หลังจากนั้นไม่นานหานเซิ่นก็เข้าใจ ดวงตาที่สามของไผ่เดียวดายนั้นเปลี่ยนแปลงเพราะเขากลายเป็นหนึ่งกับผีเสื้อเนตรม่วง
ปีกผีเสื้อกางออกอย่างสง่าผ่าเผยจากด้านหลังของไผ่เดียวดาย ดวงตานภาของเขาปลดปล่อยสำแสงสีม่วงแดงที่ดูเหมือนกับโซ่สสารออกมา
หานเซิ่นคุ้นเคยกับลำแสงนั้น มันควรจะเป็นแสงแห่งเทพของผีเสื้อเนตรม่วงที่จำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรู แต่เมื่อหานเซิ่นลองสัมผัสกับลำแสงนั้นด้วยประสาทสัมผัส เขาก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นอะไรที่รุนแรงและอันตรายยิ่งกว่า มันแตกต่างไปจากเนตรมารที่หานเซิ่นเคยเห็นมาก่อน
ลำแสงสีม่วงแดงพุ่งไปหาจอมทำลายล้างสีเงิน จอมทำลายล้างสีเงินแกว่งดาบพยายามจะทำลายแสงแห่งเทพของไผ่เดียวดาย แต่แสงแห่งเทพไม่มีรูปธรรม ดาบแสงสีเงินนั้นพุ่งไปถูกแสงแห่งเทพอย่างแม่นยำเหมือนจับวาง แต่ลำแสงของไผ่เดียวดายยังคงพุ่งต่อไปข้างหน้าอย่างไร้การหยุดยั้ง
ในจังหวะที่แสงแห่งเทพสัมผัสร่างกายของมัน จอมทำลายล้างสีเงินก็เหมือนจะถูกแช่แข็ง มันยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวและดาบของมันก็ค้างอยู่กลางวงสวิง
หานเซิ่นดึงสายธนูงูหกคอร์และยิงออกไปในทิศทางของจอมทำลายล้างสีเงิน แต่จอมทำลายล้างสีเงินเคลื่อนไหวได้อีกครั้งก่อนที่ลูกธนูของหานเซิ่นจะไปถึงตัวมันซะอีก มันฟันลูกธนูจนขาดครึ่ง
“แสงแห่งเทพจำกัดการเคลื่อนไหวได้ไม่นานพอ พวกเราจำเป็นต้องร่วมมือและกำหนดเวลาให้พอดีกัน” ไผ่เดียวดายพูด