ขณะที่เอ็กซ์ควิสิทยืนอยู่ในสนามประลอง เธอก็ดูเหมือนกับเครื่องจักรมากกว่าสิ่งมีชีวิต สีหน้าของเธอสงบนิ่งอย่างที่สุดราวกับว่าเธอมองทะลุผ่านทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่นักปราชญ์และนักพยากรณ์ก็ไม่สามารถสงบนิ่งเหมือนกับเธอได้
“ไม่ว่าจะได้เห็นมันสักกี่ครั้ง ข้าก็ยังประหลาดใจกับพลังและความโหดร้ายของเนตรเวรี่ไฮ พวกมันรวมนภาเข้ากับร่างกายของพวกเขา พวกเขาควรจะเป็นผู้คนของนภาที่แท้จริง แต่การรวมกับนภาทำให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกฎจักรวาล แบบนั้นเอ็กซ์ควิสิทตัวจริงจะยังคงมีอยู่อีกอย่างนั้นหรอ?” ผู้นำปราสาทนภามองไปที่เอ็กซ์ควิสิทและถอนหายใจ
“อัลฟ่าของพวกเรากังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นเช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลที่เขายืนกรานจะร่วมสายพันธ์กับเผ่าพันธุ์อื่นเพื่อให้กำเนิดสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา มันนำการเปลี่ยนแปลงที่พิเศษมาสู่เนตรเวรี่ไฮ ดวงตาที่สามของพวกเราอาจจะอ่อนแอลงไปในตอนนี้ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นเปิดประตูสำหรับโอกาสอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่า มันมีความเป็นไปได้ที่มากกว่าเนตรเวรี่ไฮ”
ผู้หญิงคนนั้นหยุดไปชั่วครู่และพูดต่อ “แต่ไม่ว่ายังไงพวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไร พวกเราก็แยกตัวจากมันไม่ได้ จากมุมมองนั้นเส้นทางของเวรี่ไฮคือเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับสายใยที่ประกอบเป็นจักรวาลมากที่สุด”
“ถูกหรือผิด มันไม่สำคัญ พวกเราควรจะเลือกเส้นทางที่คิดว่าถูกต้อง ผลลัพธ์เป็นบางสิ่งที่มีแค่เวลาเท่านั้นที่จะบอกพวกเราได้” ผู้นำของปราสาทนภาพูด
หานเซิ่นชื่นชมพลังของเอ็กซ์ควิสิท เขาเคยเห็นเธอใช้ความสามารถนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่การได้เห็นมันอีกครั้งก็ยังคงเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์อยู่ดี
ผู้คนนั้นไม่สมบูรณ์แบบ ทุกคนมีข้อบกพร่องของตัวเอง แต่ทว่าในตอนที่เอ็กซ์ควิสิทเปิดเนตรเวรี่ไฮ เธอก็ดูไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่มีข้อบกพร่องอีกต่อไป มันดูเหมือนกับว่าเธอไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป เธอเป็นเหมือนกับงานศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า
“ใช้พลังทั้งหมดของเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่มีโอกาสชนะ” เอ็กซ์ควิสิทพูดกับหานเซิ่น คำพูดของเธออาจจะฟังดูอวดดี แต่มันไม่มีความโอ้อวดในโทนเสียงของเธอ มันเหมือนกับว่าเธอกำลังพูดข้อเท็จจริง
หานเซิ่นยิ้ม เขายกมือขึ้นเหมือนกับเป็นมีดและฟันออกไปในทิศทางของเอ็กซ์ควิสิท
ครั้งก่อนที่พวกเขาต่อสู้กัน พวกเขาใช้น้ำในสระที่อยู่ใกล้เคียง มันเป็นเหมือนกับการฝึกซ้อมเท่านั้น และเอ็กซ์ควิสิทก็ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของเธอ
แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เธอไม่คิดจะออมมือ เอ็กซ์ควิสิทจะต่อสู้โดยใช้พลังทั้งหมดของเธอ
มีดลมปราณสีม่วงบินออกจากฝ่ามือของหานเซิ่นราวกับเขี้ยวของงูพิษที่กระโดดเข้าไปเพื่อกัดศัตรู มันเป็นการฟันที่รวดเร็ว โหดร้ายและแม่นยำ การฟันนั้นเกือบจะเร็วเกินกว่าที่จะมองตามได้ทัน
เมื่ออี๋ซาเห็นการฟันของหานเซิ่น เธอก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า วิชามีดเขี้ยวดาบของหานเซิ่นแตกต่างไปจากของเธอ แต่มันก็ฝึกจนถึงขั้นสูงสุดเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้หานเซิ่นถือเป็นหนึ่งในยอดฝีมือวิชามีดเขี้ยวดาบที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ในปราสาทนภามียอดฝีมือหลายคนที่ใช้มีด และเมื่อพวกเขาได้เห็นการโจมตีของหานเซิ่น พวกเขาก็ต้องประหลาดใจ แม้แต่คนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิชามีดก็สามารถบอกได้ว่าการโจมตีนี้มันสุดยอดขนาดไหน มันไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาของยอดฝีมือระดับเทพเจ้าเลย
“ถึงแม้ข้าไม่อยากจะยอมรับมัน แต่พรสวรรค์เป็นสิ่งที่กำหนดว่าคนๆหนึ่งจะไปได้ไกลขนาดไหน ข้ากลัวว่าในปราสาทนภาคงจะมีแค่ไผ่เดียวดายและอวี้ซ่านซินที่เทียบกับเขาได้” ศิษย์ของปราสาทนภาคนหนึ่งพูดพร้อมกับถอนหายใจ
วินาทีต่อมาศิษย์ของปราสาทนภาก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่กำลังได้เห็น
การโจมตีที่น่าตกใจของหานเซิ่นนั้นพลาดเป้า
ขณะที่การโจมตีพุ่งเข้ามา เอ็กซ์ควิสิทก็ยืนอยู่กับที่และไม่ได้ขยับไปไหน การโจมตีของหานเซิ่นนั้นผ่านเธอไปโดยที่ชุดสีขาวของเอ็กซ์ควิสิทไม่แม้แต่จะปลิวไสวในสายลม เธอมองไปที่หานเซิ่นและพูดอย่างสงบนิ่ง
“โจมตีต่อไป ใช้พลังทั้งหมดของเจ้า”
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็รวบรวมพลังและเริ่มใช้ท่วงท่าทั้งหมดของวิชามีดเขี้ยวดาบ
ความจริงแล้วหานเซิ่นไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การฝึกวิชามีดเพียงอย่างเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อฝึกพวกมัน วิชามีดของเขากลายเป็นอะไรที่ทรงพลังมาก ซึ่งคนในระดับเดียวกันนั้นมีน้อยคนนักที่จะฝึกจนถึงขั้นนี้
แต่ตลอดหลายนาทีต่อมา เขาได้ใช้ทุกท่าของวิชามีดเขี้ยวดาบ และตลอดเวลานั้นเอ็กซ์ควิสิทก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เธอไม่ได้ขยับไปไหน เธอไม่แม้แต่จะต้องกระดิกนิ้ว มีดลมปราณของหานเซิ่นนั้นบินผ่านเธอไป
ศิษย์ของปราสาทนภารู้ว่าเผ่าเวรี่ไฮนั้นแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าเอ็กซ์ควิสิทใช้พลังแบบไหนเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของหานเซิ่น ด้วยเหตุผลบางอย่างเอ็กซ์ควิสิททำให้การโจมตีของหานเซิ่นพลาดเป้าทุกครั้งโดยที่ไม่ต้องกระดิกนิ้ว เธอไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่มีใครคิดว่าที่หานเซิ่นโจมตีไม่ถูกตัวเอ็กซ์ควิสิทนั้นเป็นเพราะหานเซิ่นทำพลาด แต่ถึงเขาจะทำพลาดจริงๆ มันก็ไม่มีทางที่การโจมตีทั้งหมดของเขาจะไม่โดนร่างกายของเธอเลย
“ศิษย์พี่ไผ่เดียวดาย เอ็กซ์ควิสิทกำลังใช้พลังอะไรอยู่? นางหลีกเลี่ยงการโจมตีทั้งๆที่ยืนอยู่เฉยๆได้ยังไง?” ยวิ๋นซู่อีถามไผ่เดียวดายที่อยู่ข้างๆ
ไผ่เดียวดายรออยู่สักพักก่อนที่จะพูดขึ้นมา “นางอาจจะไม่ได้ขยับตัว แต่ในทางหนึ่งนางยังคงหลบหลีก”
“นั่นหมายความว่ายังไง?” ยวิ๋นซู่ซางอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
ไผ่เดียวดายคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “พวกเรารู้ว่าการเคลื่อนไหวนั้นมีความสัมพันธ์กัน ในตอนที่เรานั่งบนยานอวกาศและมองออกไปนอกหน้าต่าง มันอาจจะดูเหมือนกับสิ่งที่อยู่ภายนอกกำลังเคลื่อนที่ไปด้านหลังแทนที่จะเป็นยานอวกาศเคลื่อนที่ไปด้านหน้า”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ยวิ๋นซู่ซางก็พูดอย่างสั่นไหว “ศิษย์พี่หมายความว่าเอ็กซ์ควิสิทไม่ใช่คนที่เคลื่อนไหว แต่จริงๆแล้วเป็นทั้งโลก?”
“ทำนองนั้น เนื่องจากนางยังเป็นแค่ระดับราชันขั้นที่เก้า ความสามารถของนางจึงไม่ได้ทรงพลังถึงขนาดนั้น แต่อย่างน้อยสนามประลองก็เคลื่อนไหวเพราะนาง” ไผ่เดียวดายพยักหน้า
“ทั้งโลกถูกเปลี่ยนแปลงโดยนาง นั่นหมายความว่าหานเซิ่นจะพ่ายแพ้น่ะสิ” ยวิ๋นซู่อีกังวล
“บางทีอาจจะไม่ ข้าแค่อธิบายสิ่งที่นางกำลังทำ เอ็กซ์ควิสิทยังคงเป็นแค่นักสู้ระดับราชัน นางไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า มันมีขีดจำกัดของอิทธิพลที่มีต่อโลก หานเซิ่นแค่ต้องก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นไป” ไผ่เดียวดายพูด
“พวกเขาทั้งคู่เป็นระดับราชันขั้นที่เก้าเหมือนกัน? แบบนั้นพลังของหานเซิ่นจะก้าวข้ามเอ็กซ์ควิสิทไปได้อย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีมองไผ่เดียวดายและคาดหวังคำตอบจากเขา
“ได้” ไผ่เดียวดายตอบอย่างมั่นใจ
หลังจากที่ไผ่เดียวดายพูดแบบนั้น หานเซิ่นก็ยกมือขึ้นและฟันออกไปเหมือนกับการโจมตีครั้งแรกสุด
“ใช้การโจมตีแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง? มันไม่มีประโยชน์ที่จะใช้การโจมตีแบบเดิมเป็นครั้งที่สอง” เอ็กซ์ควิสิทยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่ขณะที่เธอพูดแบบนั้น เธอก็ชะงักไปและก้มมองตัวเอง
เสียงผ้าฉีกขาดดังขึ้นมา แขนเสื้อข้างซ้ายของเอ็กซ์ควิสิทถูกฉีกขาดและพลังเขี้ยวสีม่วงก็แพร่กระจายบนชุดขาวของเธอ
“เจ้าบอกว่าการใช้การโจมตีแบบเดิมจะไม่ได้ผลอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นยิ้มให้กับเอ็กซ์ควิสิทขณะที่พูด