นักสู้ส่วนใหญ่ในจักรวาลเป็นเหมือนกับเทียนไข แต่ตัวไหมของเผ่าเวรี่ไฮเป็นเหมือนกับกองไฟที่โชติช่วง
หานเซิ่นตั้งใจจะใช้เวลาเพื่อสังเกตวิชาดาบของกรู แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องสู้
หานเซิ่นกดไกปืนและปืนคู่ของมนตราก็พ่นกระสุนออกไปอย่างต่อเนื่อง
ดาบใหญ่ในมือของกรูกวัดแกว่งราวกับสายลมและตัดทุกกระสุนที่เข้ามาจนขาดครึ่ง ไม่มีกระสุนไหนที่เล็ดลอดไปจากดาบของเขา
“นั่นเป็นวิชาดาบที่ดี” หานเซิ่นเอยชมคู่ต่อสู้
วิชาการต่อสู้ของกรูนั้นด้อยกว่าไผ่เดียวดาย แต่หานเซิ่นชื่นชมในความเสถียรอย่างไม่น่าเชื่อของเขา ทุกการเคลื่อนไหวถูกฝึกฝนอย่างเคร่งครัดและมีท่าทางที่มั่นคง กรูนั้นฝึกฝนวิชาของเขาจนถึงขีดจำกัด
นี่เป็นวิธีการที่คนๆหนึ่งควรจะฝึกฝนวิชาดาบของพวกเขา มันไม่ใช่หนทางที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่า หนทางแบบนั้นเป็นกลยุทธิ์ที่คนอ่อนแอมักจะใช้ การมีกระบวนท่าที่มั่นคงและใช้กำลังบดขยี้คู่ต่อสู้โดยไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ตอบโต้ นั่นคือวิธีการใช้ดาบที่แท้จริง
“มันไม่ใช่วิชาดาบที่ดี” กรูพูด
“ข้าเริ่มฝึกการใช้ดาบตั้งแต่อายุห้าขวบ ในตอนที่ข้าอายุสามสิบ วิชาดาบของข้าก็ยังคงไม่ดี ผู้คนมักจะคิดว่าข้าโง่เขลาและไม่เหมาะสมกับการเป็นนักดาบ แต่ข้ามีร่างกายแห่งราชันธาตุดาบ มันจะเป็นอะไรที่เสียเปล่าถ้าข้าไม่ฝึกการใช้ดาบ ดังนั้นข้าจึงฝึกมันต่อไป ตอนนี้มันผ่านมาสี่สิบหกปีแล้ว แต่วิชาดาบของข้าก็ยังคงไม่ดี ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็คือข้าเหนือกว่าบรรพบุรุษ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้วิชาดาบของข้าดี”
“ถ้าเจ้ากำลังใช้สิ่งที่เรียนรู้มา เชื่อข้าในตอนที่ข้าบอกว่านั่นเป็นวิชาดาบที่ดี น้อยคนนักที่จะใช้ดาบได้ดีขนาดนี้” หานเซิ่นรู้ว่าการฝึกวิชาดาบจนถึงขีดจำกัดนั้นยากยิ่งกว่าการคิดวิชาดาบใหม่ขึ้นมา
วิชาดาบใหม่จะถูกสร้างขึ้นมาในในช่วงเวลาที่เกิดแรงบันดาลใจ แต่การจะใช้วิชาดาบที่มีอยู่แล้วให้สมบูรณ์แบบไม่ว่าจะในสภาพแวดล้อมไหนนั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนนับไม่ถ้วน มันต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน มือของพวกเขาไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว ดาบแสงและกระสูงยังคงพุ่งมาปะทะกันอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีฝ่ายไหนที่สามารถสัมผัสร่างของอีกฝ่ายได้
“ไม่อยากเชื่อเลยว่ากรูจะเก่งกาจถึงขนาดนี้ วิชาดาบของเขายอดเยี่ยม แม้แต่ในหมู่เผ่าเวรี่ไฮ วิชาดาบนี้ก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุด” หลี่เสวี่ยเฉิงพูด
“กรูเป็นคนที่เติบโตช้า” หลี่อวี้เจินพูดพร้อมกับพยักหน้า
“ถึงเขาจะไม่ได้มีความเร็วของเพกาซัส แต่เขาก็เป็นคนที่มั่นคงจนเหมือนกับว่าเขาทนต่ออันตรายได้ทุกอย่างในโลกนี้ ถ้าคู่ต่อสู้ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าเขา มันก็ไม่มีทางที่จะทำลายวิชาดาบของเขาได้ ถ้าเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงใช้เขาในฐานะยาม ฐานของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งดังหินผา”
“โชคดีสำหรับพวกเราที่หานเซิ่นเจอกับกรูเป็นคนแรก ด้วยเสถียรภาพของกรู เขาควรจะบีบให้หานเซิ่นต้องใช้พลังทุกหยด ถึงแม้กรูจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่ตัวไหมคนอื่นก็จะได้รู้ถึงพลังของหานเซิ่น” ตอนนี้หลี่เสวี่ยเฉิงรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม
ในระยะที่ไกลออกไปชายหัวสิงโตคนหนึ่งกำลังมองมาที่หานเซิ่นและกรู
“ดูเหมือนว่าหานเซิ่นจะไม่ได้มีพรสวรรค์เหมือนอย่างที่ผู้คนกล่าว ถ้าไม่มีสมบัติ เขาก็ไม่ได้พิเศษอะไร” จิ้งจอกผู้หญิงคนหนึ่งหัวเราะขณะที่เดินเข้ามาข้างเชล
เชลดูจริงจังขณะที่พูดขึ้นมา “ดาบวิถีกษัตริย์ของกรูเป็นวิชาดาบที่ร้ายกาจ ความจริงที่หานเซิ่นต่อสู้กับเขาได้โดยไม่เปิดเผยกระบวนท่าของตัวเองนั้นถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของเขา แม้แต่ร่างกายระดับราชันขั้นที่เก้าของข้าก็ยังอาจจะเปิดเผยกระบวนท่าเมื่อต่อสู้กับกรูที่เป็นครึ่งเทพ”
จิ้งจอกผู้หญิงหัวเราะและพูด “ในตอนที่เจ้าลดลงมาสู่ระดับราชัน ความกล้าหาญของเจ้าก็ลดลงไปด้วยอย่างนั้นหรอ? นี่เชลผู้ไร้ความกลัวคนนั้นหายไปไหนแล้ว? นี่เจ้าเห็นเขาหรือเปล่า? แม้แต่หานเซิ่นที่เป็นแค่ระดับราชันขั้นที่เก้าก็ยังทำให้เจ้ามีปฏิกิริยาแบบนี้จริงๆหรอเนี่ย?”
“ข้าต้องแบกรับชะตากรรมของเผ่าไลอ้อนฮาร์ท ดังนั้นข้าจะทำทุกอย่างอย่างระมัดระวังที่สุด ข้าอาจจะพ่ายแพ้ แต่ข้าจะไม่ล้มเหลวเนื่องจากความประมาทของตัวเอง” เชลพูดเสียงแข็ง
จิ้งจอกผู้หญิงกรอกตา เธอมองไปที่เชลและพูด “ยังไงก็ตาม เจ้าคิดยังไงกับพลังของหานเซิ่น? เขาจะเอาชนะกรูได้ไหม?”
“กรูนั้นแข็งแกร่ง แต่หานเซิ่นจะเอาชนะเขา” เชลตอบ
“ถ้ากรูแข็งแกร่ง ทำไมหานเซิ่นจะชนะ?” จิ้งจอกผู้หญิงถามด้วยความสนใจ
“เขาอาจจะชนะ หรือเขาอาจจะแพ้” เชลพูดเพียงแค่นั้น
“แล้วเจ้าล่ะ? ระหว่างเจ้ากับเขาใครแข็งแกร่งกว่ากัน? เจ้าหรือหานเซิ่น?” จิ้งจอกหญิงมองไปที่เชลและพยายามจะอ่านความคิดของเขา
เชลพูด “พวกเราไม่เคยสู้กันมาก่อน ดังนั้นใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?”
หานเซิ่นและกรูยังคงทำการต่อสู้กันต่อไป แต่จนถึงตอนนี้หานเซิ่นก็ยังไม่พบหนทางที่จะเอาชนะกรู ขาต้องขอยอมรับว่ากรูนั้นมั่นคงเกินไป หานเซิ่นเริ่มคิดว่าถ้าเขายังต่อสู้แบบนี้ต่อไป เขาก็คงจะแก่ตายซะก่อนที่จะพบจุดอ่อนของชายคนนี้ ดูเหมือนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะกรูด้วยวิชาการต่อสู้
‘ถ้าความว่องไวไม่ได้ผลกับเขา แบบนั้นก็ดูเหมือนว่าเราต้องใช้วิธีการอื่น’ หานเซิ่นเทเลพอร์ตถอยออกไปเพื่อสร้างระยะห่างระหว่างเขากับกรู
“กรู ข้ารู้สึกชื่นชมวิชาดาบของเจ้า แต่พวกเราจำเป็นต้องตัดสินผู้ชนะ ด้วยเหตุนั้นข้าต้องขอโทษด้วย” หานเซิ่นยกปืนขึ้นและเล็งไปที่กรู
“ใช้ทุกอย่างที่เจ้าซะ” กรูกำดาบใหญ่เอาไว้แน่น ใบหน้าของเขาดูสงบนิ่ง มันเหมือนกับว่าทั้งท้องฟ้าจะถล่มหรือแผ่นดินจะทลาย พวกมันก็จะไม่ทำให้เขาสั่นคลอน
หานเซิ่นและเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงเป็นศัตรูกัน แต่หานเซิ่นยังคงรู้สึกชื่นชมคู่ต่อสู้ กรูเป็นคนที่เข้มแข็ง และถ้าเขาได้กลายเป็นผู้นำของเอ็กซ์ตรีมคิง เผ่าพันธ์ของพวกเขาก็คงจะก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก
‘น่าเสียดายที่ตอนนี้เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงถูกปกครองโดยราชาไป๋ กรูคงจะไม่มีโอกาส’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง เขาเล็งไปที่กรูและเหนี่ยวไกปืน
ปัง!
กระสุนพุ่งออกจากปากกระบอกปืนและพุ่งตรงเข้าไปหากรู เมื่อเห็นแบบนั้น กรูก็จับดาบแน่นด้วยทั้งสองข้าง เขาตะโกนและนำดาบใหญ่ขึ้นเหนือหัวเพื่อจะฟันลงมาใส่กระสุน
ดาบแสงส่องสว่างจนแสบตา แต่เมื่อดาบแสงปะทะกับเป้าหมายของมัน กระสุนไม่ได้ถูกตัดขาดครึ่ง แต่มันระเบิดออกแทน
ตูม!
มันเหมือนกับการระเบิดของระเบิดไฮโดรเจน การมองไปที่มันเหมือนกับการจ้องตรงไปที่ดวงอาทิตย์ มันเข้าปกคลุมกรูและดินแดนส่วนใหญ่
ในตอนที่แรงระเบิดจางหายไปก็มีหลุมขนาดใหญ่
ปรากฏขึ้นในภูเขา ร่างกายที่อาบด้วยเลือดของกรูนอนอยู่ในหลุมนั้น แขนขาของเขาหายไปและบาดแผลก็ปกคลุมทุกซอกทุกมุมของร่างกายที่เหลืออยู่ของเขา
“เป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวอะไรขนาดนี้” ผู้ชมรู้สึกตกใจ ระดับราชันขั้นที่เก้าคนหนึ่งใช้พลังทำลายล้างล้วนๆเพื่อเอาชนะกรูที่เป็นระดับครึ่งเทพ มันเป็นอะไรที่น่าตกใจ