หานเซิ่นได้พักฟื้นอยู่แค่ครึ่งชั่วโมงก่อนที่ม่อฟางจะปรากฏตัวออกมาพร้อมกับมีครึ่งเทพสามคนตามเขามาราวกับลูกเป็ด เชลชำเลืองมองม่อฟาง ม่อฟางเบะปากขณะที่จ้องกลับไปที่เชล ไม่มีคนไหนพูดอะไร แต่พวกเขารู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังคิดอะไรอยู่
“บัตเตอร์ฟลาย เจ้าจะอยู่ข้างพวกเราหรืออยู่ข้างเชล?” ม่อฟางถามขณะที่มองไปที่จิ้งจอกหญิง
“ข้าเป็นเพียงผู้หญิงที่อ่อนแอ ข้าคงจะช่วยใครไม่ได้” บัตเตอร์ฟลายพูดขณะที่ถอยออกไป เธอไม่อยากจะช่วยข้างไหนทั้งนั้น
ม่อฟางรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจงใจปล่อยข่าวเรื่องที่เชลไม่ได้เป็นระดับเทพเจ้าแล้วออกมา มันเห็นได้ชัดว่าเธอต้องการจะดูการต่อสู้อยู่ห่างๆและรอรับผลประโยชน์
แต่ม่อฟางไม่รังเกลียดที่จะปล่อยให้เธอทำแบบนั้น เพราะเขาเชื่อว่าเธอไม่แข็งแกร่งพอที่จะส่งผลกระทบต่อการได้อันดับที่หนึ่งของเขา สำหรับตอนนี้คนที่ขวางทางอยู่คือเชลต่างหาก
“เชล นี่เจ้าคิดจะปกป้องหานเซิ่นจริงๆอย่างนั้นหรอ?” ม่อฟางถาม
เชลพยักหน้า หลังจากนั้นครึ่งเทพทั้งสามคนก็กระจายตัวกันออกไปเพื่อล้อมเชลเอาไว้
“ไม่ว่าข้าจะปกป้องเขาหรือไม่ ที่สุดแล้วข้าก็ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าอยู่ดี”
เชลพูดขณะที่ลุกขึ้นยืน ร่างกายของเขาสูงถึงสามเมตร เขาดูน่ายำเกรงถึงแม้เขาจะไม่ได้พยายามทำตัวแบบนั้นก็ตาม เขาดูเหมือนกับมนุษย์สิงโตขนทอง
ม่อฟางยิ้มและพูด “ถ้าเจ้าถอนตัวไปซะตอนนี้ พวกเราก็ไม่ต้องเสียเวลาต่อสู้กัน”
“จะสู้ก็รีบสู้” เชลดูสงบนิ่ง เขาดูมั่นคงดังขุนเขา
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องระวังตัวให้ดี” ม่อฟางพูด เขาชี้นิ้วออกไปและพลังพิชิตมารของเผ่าดราก้อนก็มารวมกันอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา
เผ่าดราก้อนนั้นถูกกล่าวขานว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่กล้าหาญที่สุด และพลังพิชิตมารของพวกเขาก็เป็นพลังที่อัดแน่นไปที่จุดๆเดียว มันคล้ายคลึงกับวิชาฮาร์ทคอนเน็คชั่นของหานเซิ่น
แต่ฮาร์ทคอนเน็คชั่นนั้นจะปลดปล่อยพลังทั้งหมดของผู้ใช้ออกมาในครั้งคราวเดียว ขณะที่พลังพิชิตมารจะใช้พลังเท่าที่ผู้ใช้ต้องการเท่านั้น
หานเซิ่นเคยวิเคราะห์เกี่ยวกับพลังพิชิตมารของเผ่าดราก้อน และเขาก็ได้ข้อสรุปว่ามันเป็นวิชาจีโนที่น่ากลัวมากๆ
ในตอนนี้ม่อฟางกำลังใช้วิชาพิชิตมารเพื่อรวบรวมพลังมาที่จุดๆเดียว พลังที่เขารวบรวมมาได้นั้นเหนือกว่าของยอดฝีมือระดับเทพเจ้าของเผ่าดราก้อนซะอีก
เชลไม่ได้หลบหลีกหรือวิ่งหนี เขาก้าวไปข้างหน้าและแกว่งกำปั้นออกไป เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขากระโจนออกไปราวกับสิงโตที่เกรี้ยวกราด
ตูม!
นิ้วมือและกำปั้นปะทะกัน แรงระเบิดที่ตามพานั้นฉีกสภาพแวดล้อมรอบๆ เชลไม่ได้ขยับเขยื้อน ขณะที่ม่อฟางถอยออกไปสิบเมตร
ม่อฟางยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะและพูด “สมกับเป็นระดับเทพเจ้าตั้งแต่กำเนิดจริงๆ ถึงแม้ตอนนี้เจ้าจะอ่อนแอลงไป แต่ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเจ้าก็ยังเป็นอะไรที่หาได้ยาก”
“นั่นเป็นเพียงแค่พละกำลังทางกายภาพ มันเทียบไม่ได้กับวิชาลับของเผ่าเวรี่ไฮ” เชลพูดอย่างถ่อมตัว
“ลำพังแค่พลังของตัวเอง ข้าเทียบเจ้าไม่ได้จริงๆ แต่ข้าต้องการจะได้อันดับที่หนึ่ง ด้วยเหตุนั้นข้าต้องขอโทษด้วย” ม่อฟางพูด หลังจากนั้นครึ่งเทพของเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงและเผ่าไอจิก็เริ่มลงมือ
ตอนนี้เชลตกอยู่สถานการณ์เดียวกันกับที่หานเซิ่นเคยประสบก่อนหน้านี้ แต่สถานการณ์ของเชลนั้นคับขันยิ่งกว่า
ปัจจัยหลักคือการสลับเปลี่ยนระหว่างม่อฟางและมนุษย์ตั๊กแตน มันมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างความสามารถของพวกเขาทั้งคู่ พลังของม่อฟางนั้นเหนือกว่ามนุษย์ตั๊กแตนมากนัก
มันอาจจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา แต่การเข้าร่วมของม่อฟางทำให้การประสานงานของคนอื่นๆก็ดูดีขึ้นกว่าครั้งก่อน ค่ายกลของพวกเขาดูเป็นอะไรที่ไม่สามารถูกทำลายได้
ม่อฟางนั้นทำได้มากกว่าการควบคุมครึ่งเทพเพียงแค่สามคน เขาสามารถแผ่อิทธิพลต่อทั้งกองทัพที่ประกอบไปด้วยทหารนับหมื่น การจะทำเรื่องแบบนั้นถือเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับม่อฟาง
“ม่อฟางเชี่ยวชาญการควบคุมคนอื่น ด้วยความสามารถในการออกคำสั่ง เขาสั่งการตัวไหมคนอื่นง่ายเหมือนกับการกระดิกนิ้วของตัวเอง เขาทำให้ตัวไหมทั้งสามคนต่อสู้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เชลไม่มีพลังพอจะต่อกรกับพวกเขา เห็นได้ชัดว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตราย” เอ็กซ์ควิสิทพูดขณะที่มองเชลที่อยู่ในหุบเขา
เชลกำเนิดมาจากเผ่าพันธ์เล็กๆที่ไม่ได้มีวิชาจีโนดีๆเลยสักวิชา นอกจากพรสวรรค์และระดับพลังของเขาแล้ว มรดกของเขานั้นเลวร้ายยิ่งกว่าของหานเซิ่น วิชาจีโนดีๆที่เขาได้ฝึกทั้งหมดนั้นมาจากในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในเอาท์เตอร์สกาย
มันเป็นไปไม่ได้ที่เชลจะเอาชนะทั้งสี่คนด้วยวิชาที่เขามี
ทักษะการต่อสู้ของเชลอาจจะไม่ได้ด้อยไปกว่าหานเซิ่น แต่เขาขาดความยืดหยุ่นและความหลากหลายอย่างที่หานเซิ่นมี
ด้วยพลังอาณาเขตของเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงสองคนและเผ่าไอจิหนึ่งคน พลังของเชลก็ไปไม่ถึงตัวของม่อฟาง เขาเป็นเหมือนกับสัตว์ที่ถูกขังอยู่ในกรง ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนมากสักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถออกไปจากกรงได้
ม่อฟางเคลื่อนไหวนิ้วมือราวกับว่าพวกมันเป็นมีดดาบสิบเล่ม แสงแห่งเทพที่น่ากลัวสาดส่องออกไปทุกหนทุกแห่ง และรอยแผลนับไม่ถ้วนก็เกิดขึ้นตามร่างกายของเชล
“เป็นร่างกายที่แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้ ดูเหมือนเจ้าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเวรี่ไฮทั่วไป พรสวรรค์สิบเปลือกเป็นอะไรที่หายากมากๆ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง”
ม่อฟางใช้พลังพิชิตมารโจมตีใส่เชลหลายครั้ง แต่เขาก็ทำได้แค่ทิ้งบาดแผลตื้นๆเอาไว้เท่านั้น
หัวใจของหลี่อวี้เจินและหลี่เสวี่ยเฉิงเกือบจะหลุดออกจากอก ในตอนนี้พวกเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องที่หานเซิ่นอาจจะชนะเชลอีกต่อไป เพราะดูเหมือนว่าเชลจะอยู่ได้ไม่นานพอที่จะต่อสู้กับหานเซิ่นด้วยซ้ำ
“เวรเอ้ย!” ใบหน้าของหลี่เสวี่ยเฉิงเต็มไปด้วยความโกรธ เขาคิดเกี่ยวกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าเชลพ่ายแพ้การประลองระหว่างตัวไหม เขารู้สึกเวียนหัวและร่างกายของเขาก็สั่นไหว ส่วนเวรี่ไฮที่เดิมพันข้างหานเซิ่นนั้นดูดีใจเมื่อเทียบกันแล้ว
“ม่อฟางคนนั้นไม่เลวเลย ถึงแม้พลังของเขาจะไม่ได้โดดเด่นเหมือนอย่างหานเซิ่นหรือเชล แต่ข้าไม่คิดว่าจะมีเวรี่ไฮคนไหนในรุ่นนี้ที่จะเป็นผู้บัญชาการที่ดีไปกว่าเขา”
“ทำได้ดีมาก กำจัดเชลเร็วเข้า”
“ฮ่าๆ! ม่อฟางจะฆ่าเชล หลังจากนั้นเขาก็จะฆ่าหานเซิ่นต่อ ข้าชอบเรื่องนี้”
…
เชลได้รับบาดแผลมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเป็นครึ่งเทพคนอื่นล่ะก็ พวกเขาก็คงจะพ่ายแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อมองไปในดวงตาของเชล มันก็เห็นได้ชัดว่าเชลไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิดเดียว เขาไม่คิดจะถอย
ดวงตาของเขาดูเหมือนกับดวงตาของสิงโต เขาดูตื่นเต้น เขาตื่นเต้นราวกับสัตว์ที่กระหายเลือด
ม่อฟางขมวดคิ้ว เขารู้สึกตัวว่ามันเป็นเรื่องยากขนาดไหนที่จะสร้างความเสียหายกับเชล เขาสามารถใช้แต่ละวิชาโจมตีเชลได้เพียงแค่เดียวเท่านั้น หลังจากนั้นการโจมตีแบบเดิมก็จะไม่สามารถสร้างความเสียหายกับเชลได้อีกต่อไป ม่อฟางจำเป็นต้องเปลี่ยนวิชาไปเรื่อยๆ
ในสายตาของคนนอกมันอาจจะดูเหมือนกับว่าเชลกำลังถูกไล่ต้อน แต่ถ้าลองมองดูดีๆแล้วจะเห็นว่าม่อฟางกำลังตกที่นั่งลำบาก
ถึงแม้เผ่าเวรี่ไฮจะมีวิชาจีโนอยู่มากมาย แต่ส่วนใหญ่เป็นวิชาจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ แต่ม่อฟางไม่ได้ฝึกพวกมันทั้งหมด ถ้าเกิดยังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาก็ต้องวนกลับมาใช้วิชาเดิม
“แค่นั้นเองหรอ?” ความผิดหวังปรากฏในดวงตาของเชล