พลังของชุดเกราะมนตรานั้นคงทีมาเป็นเวลานาน ก่อนหน้านี้ในการต่อสู้ มันไม่สามารถป้องกันพลังปีศาจของเชลได้ นั่นก็เพราะว่าพลังของเชลมากเกินไป แต่ตอนนี้เมื่อทั้งเก้าขั้นของเรื่องราวของยีนรวมเป็นหนึ่งเดียว มันก็ทำให้ชุดเกราะมนตราเพิกเฉยต่อความแตกต่างระหว่างพลังของนักสู้ทั้งสองได้ พลังของหานเซิ่นไม่ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นธาตุเดียวกันกับของเชลอีกต่อไป
เชลดูแปลกใจเล็กน้อยกับเรื่องนี้ เขาลองใช้พลังปีศาจอีกหลายครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามยังไง เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนธาตุของหานเซิ่นได้
“หานเซิ่นต้านพลังปีศาจของเชลได้ นั่นเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง” ผู้อาวุโสโอเพ่นสกายพูด
“ถึงแม้พลังปีศาจจะไม่ได้เปลี่ยนธาตุของเขาอีกต่อไป เขาก็ยังคงเป็นระดับครึ่งเทพที่เผชิญหน้ากับระดับเทพเจ้า มันยังคงมีความแตกต่างของพลัง” ผู้อาวุโสหลี่ฉียวี่พูด
“ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีโอกาส ถึงแม้มันจะน้อยนิดก็ตาม” ผู้อาวุโสโอเพ่นสกายฝากความหวังทั้งหมดกับหานเซิ่น
ถึงแม้พลังปีศาจของเชลจะสูญเสียประสิทธิภาพไป แต่พลังของหานเซิ่นก็ยังคงเป็นรองอยู่ดี มันยังคงมีความแตกต่างระหว่างระดับพลังของพวกเขา และวิชาจีโนของหานเซิ่นก็เพิ่งจะกลายเป็นระดับครึ่งเทพ มันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้หานเซิ่นต่อสู้กับยอดฝีมือระดับเทพเจ้าได้
ภายใต้แรงกดดันของเชล หานเซิ่นต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เขาต้องเทเลพอร์ตเพื่อหลบหลีกการโจมตีของเชล
หานเซิ่นยังไม่มีพลังพอจะต่อสู้กับเชลแบบตรงๆ ทุกการโจมตีของเชลนั้นถือเป็นสิ่งที่อันตราย แต่ในตอนนี้หานเซิ่นสามารถปกป้องตัวเองจากพวกมันได้
เหมือนกับว่าหานเซิ่นกำลังเดินไต่ลวด ถ้าเขาไม่ระมัดระวัง เขาก็จะตกลงไปในเหวที่ไร้ก้นบึ้ง แต่ถึงแม้สถานการณ์ของเขาจะดูเต็มไปด้วยอันตราย หานเซิ่นก็ยังคงเอาตัวรอดได้
“ในที่สุดข้อเสียของการที่เชลมาจากเผ่าพันธุ์เล็กๆก็แสดงออกมา” หลี่ชุนชิวถอนหายใจ
เชลเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากๆ เขาสามารถต่อกรกับวิชาจีโนได้ทุกรูปแบบและสร้างปาฏิหาริย์ด้วยวิชาหมัดพื้นๆของเขา ด้วยพลังปีศาจที่เขามีอยู่ เขาสามารถเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่อยู่ในระดับเดียวกันได้อย่างสบายๆ
แต่ตอนนี้เมื่อพลังปีศาจไม่ได้ผล นั่นก็หมายความว่าวิชาหมัดที่เรียบง่ายของเขาก็อาจจะไม่เพียงพอ ไม่ว่านักขับรถจะมีพรสวรรค์สักแค่ไหน พวกเขาก็จะขับได้เพียงแค่รถยนต์ แม้แต่นักขับรถที่เก่งที่สุดในโลกก็ไม่อาจจะพัฒนาความสามารถเพื่อขับเครื่องบินได้อย่างกะทันหัน
วิชาหมัดของเชลเป็นอะไรที่เรียบง่าย เขาใช้แค่วิธีการธรรมดาๆเพื่อจะชนะการต่อสู้ครั้งนี้ เขาไม่มีพลังที่จะจบการต่อสู้ได้ เขาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาไม่สามารถจัดการหานเซิ่นได้
‘ถ้าเชลฝึกวิชาจีโนในเอาท์เตอร์สกายอีกสักหนึ่งถึงสองปี ด้วยพลังและพรสวรรค์ของเขา เขาก็จะเอาชนะหานเซิ่นได้อย่างแน่นอน’ หลี่ชุนชิวคิดกับตัวเอง
หลี่ชุนชิวสัมผัสได้ทุกสิ่งที่เชลรู้สึก ถึงแม้สถานการณ์จะเปลี่ยนไปแล้ว แต่เชลก็ยังคงพยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อจะเอาชนะหานเซิ่น
แต่หลี่ชุนชิวเห็นหลายจังหวะที่เขามั่นใจว่าเชลจะสามารถจัดการกับหานเซิ่นได้ แต่ทุกครั้งเชลไม่สามารถแตะต้องตัวคู่ต่อสู้ได้
หลี่ชุนชิวเริ่มจะวิเคราะห์จิตใจของเชล และในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าทำไมเชลถึงไม่สามารถทำลายวิชาของหานเซิ่นได้
เชลจำเป็นต้องเห็นวิชาจีโนเพื่อมองทะลุถึงจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ การใช้วิชาจีโนของหานเซิ่นไม่ได้ไร้ซึ่งจุดอ่อน จริงๆแล้วมันมีจุดอ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก
แต่เมื่อเชลพยายามจะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนพวกมัน เขาก็รู้สึกตัวว่าจุดอ่อนพวกนั้นเป็นกับดักที่หานเซิ่นจงใจแสดงออกมา ไม่เพียงแค่พวกมันจะไม่ส่งผลเสียต่อการใช้วิชาของหานเซิ่นแล้ว พวกมันยังจะทำให้หานเซิ่นมีโอกาสได้พักหายใจ
ทุกวิชาจีโนมีจุดอ่อนอยู่ แต่หานเซิ่นซ่อนจุดอ่อนที่แท้จริงของวิชาด้วยจุดอ่อนปลอมๆที่เขาจงใจแสดงออกมา เขาปล่อยให้เชลคาดเดาว่าจุดอ่อนไหนกันแน่ที่เป็นของจริง แต่จนถึงตอนนี้เชลก็ยังไม่สามารถคาดเดาจุดอ่อนที่ถูกต้อง
“มันมีห้าสิบทางให้เลือก และมันมีสี่สิบเก้าทางที่เลือกได้ การเอาออกไปหนึ่งจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนในจิตใจของผู้เลือก ความไม่สมบูรณ์แบบคือความสมบูรณ์แบบที่แท้จริงของโลกนี้ หานเซิ่นเรียนรู้ถึงความหมายเบื้องหลังของการเอาออกไปหนึ่ง เขาเป็นคนที่น่ากลัว เมื่อเขาเติบใหญ่ เขาอาจจะเหนือกว่าคนหนุ่มของเผ่าเวรี่ไฮ” ผู้อาวุโสโอเพ่นสกายจ้องมองการต่อสู้ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ข้าได้ยินมาว่าวิชาจีโนของเขาจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก แม้แต่เวลาสี่ปีที่อยู่ภายในเอาท์เตอร์สกาย ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้หรือเปล่า ถึงแม้เขาจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟได้ ใครในจักรวาลนี้จะมอบทรัพยากรที่มากพอจะทำให้เขาพัฒนาไปมากกว่านั้นได้?” ผู้อาวุโสหลี่ฉียวี่ส่ายหัว เขาไม่มีความหวังกับอนาคตของหานเซิ่นมากนัก
“น่าเสียดาย ถ้าเขากำเนิดในฐานะเผ่าเวรี่ไฮ เขาอาจจะกลายเป็นหลี่ชุนชิวอีกคนหนึ่ง พวกเราจะมอบทรัพยากรทั้งหมดให้กับเขา และเขาก็คงจะเข้าไปในจีโนฮอลล์ได้เป็นแน่” ผู้อาวุโสโอเพ่นสกายพูด
“อย่าได้คิดเกี่ยวกับมัน เจ้าก็รู้ว่าตาเฒ่าหัวแข็งนั่นจะไม่ยอมให้คนนอกกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา” ผู้อาวุโสหลี่ฉียวี่พูดด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
เมื่อได้ยินแบบนั้น ผู้อาวุโสโอเพ่นสกายก็ถอนหายใจและพูด “ในบางครั้งข้าก็รู้สึกอิจฉาจางเสวียนเต้าของเผ่านภา อย่างน้อยเขาก็ทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการ”
ใบหน้าของผู้อาวุโสหลี่ฉียวี่เปลี่ยนไป “เจ้าพูดแบบนั้นที่นี่ได้ แต่อย่าได้ให้ตาเฒ่าหัวแข็งนั่นได้ยินเป็นอันขาด เจ้าก็รู้ว่ามันมีความรู้สึกเกลียดชังเกี่ยวกับเรื่องที่เผ่านภาทรยศพวกเราหลงเหลืออยู่”
ผู้อาวุโสโอเพ่นสกายส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีก เขามองดูการต่อสู้ระหว่างหานเซิ่นและเชลต่อไป
หมัดของเชลเป็นเหมือนกับสิงโตปีศาจ ทุกหมัดนั้นดูเหมือนกับว่ามันสามารถกลืนท้องฟ้าและกินดวงอาทิตย์ หานเซิ่นเป็นเหมือนกับเรือเล็กที่ท่องอยู่ในคลื่นที่บ้าคลั่ง แต่ไม่ว่าหมัดของเชลจะน่ากลัวสักเพียงไหน เขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะหานเซิ่นได้
ตอนนี้จิตใจของหานเซิ่นปลอดโปร่ง เขาใช้วิชาใต้นภาและก็อตวอนเดอร์ร่วมกัน เขาใช้มีดเส้นไหมอย่างต่อเนื่อง ทุกมีดเส้นไหมนั้นดูเหมือนกับว่ามันพลิกท้องฟ้าและผืนดิน
หานเซิ่นฝึกวิชามีดมาเป็นเวลานาน เขาได้เรียนรู้จิตแห่งมีดมาจากคนอื่น แต่ตอนนี้มันเป็นจิตแห่งมีดของหานเซิ่นเองที่ทำให้เชลตกอยู่ในแรงกดดัน
“ท้องฟ้าและผืนดินเป็นเหมือนกับกระดานหมากรุก เราเป็นหนึ่งในตัวหมาก แต่ขณะที่พวกมันถูกเดินไปบนท้องฟ้าและผืนดิน ความหมายของตัวหมากแต่ละตัวจะเพิ่มสูงขึ้น มันมีวิถีทางนับพัน และตัวหมากจำเป็นต้องเลือกหนึ่งวิถีทาง โดยปราศจากตัวหมาก มันก็ไม่มีวิถี…”
จู่ๆหานเซิ่นก็พูดราวกับว่าเขาเหม่อลอย “ใต้นภา เราคือวิถี ถ้าเรายังอยู่ วิถีก็ยังอยู่ ถ้าเราตาย วิถีก็จะตาย”