หานเซิ่นรีบไปดูโดยไม่ลังเล เขาบินไปในทางที่พวกยักษ์หายตัวไป เขาไม่กล้าจะเทเลพอร์ต เขาแค่บินไปอย่างช้าๆ ขณะที่พยายามจะปิดบังพลังของตัวเอง เนื่องจากการเทเลพอร์ตจะสร้างการกระเพื่อมของมิติ ซึ่งยอดฝีมือระดับสูงจะสัมผัสถึงมันได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นหานเซิ่นต้องการจะหลีกเลี่ยง มันจะดีกว่าถ้าเขาบินไปอย่างช้าๆและเงียบเชียบ เขาไม่ต้องการจะดึงความสนใจของคนอื่น
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นติดๆกัน คลื่นกระแทกที่รุนแรง ทำให้หานเซิ่นเริ่มมั่นใจว่ามันเป็นพลังเบรกซิกซ์สกายจริงๆ เขาฝึกเบรกซิกซ์สกายมาก่อน แต่เขาไม่เคยใช้มันสร้างคลื่นกระแทกได้ทรงพลังขนาดนี้ ดังนั้นใครก็ตามที่กำลังใช้เบรกซิกซ์สกายอยู่จะต้องแข็งแกร่งกว่าเขา
“ยักษ์เหล่านั้นเป็นเผ่าเบรกสกายจริงๆหรอเนี่ย? พวกมันมาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
หานเซิ่นรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เขาต้องการจะเทเลพอร์ตไปข้างหน้าเพื่อดูว่าพวกมันกำลังทำอะไร
คลื่นกระแทกที่รุนแรงอาจจะบ่งบอกถึงการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้น แต่หานเซิ่นไม่สามารถสัมผัสถึงพลังจากวิชาจีโนอื่นๆเลย ถ้าพวกยักษ์กำลังต่อสู้กับคนกลุ่มอื่นอยู่ หานเซิ่นก็ควรจะตรวจจับได้ถึงพลังที่แตกต่างออกไปจากเบรกซิกซ์สกาย
“หรือบางทียักษ์เหล่านั้นจะกำลังฆ่ากันเอง?” ถึงแม้หานเซิ่นอยากจะรู้ความจริงแค่ไหน เขาก็ยังคงอดทนและบินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ทะเลที่เคยสงบนิ่งกลับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงด้วยพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมา หานเซิ่นบินไประหว่างคลื่นเพื่อซ่อนตัวจากการถูกสังเกตเห็น
ทะเลแห่งนี้แปลกประหลาดเหนือจินตนาการ หานเซิ่นบินมาหลายสิบไมล์ แต่เขาก็ยังไม่เห็นสาหร่ายทะเลหรือสิ่งมีชีวิตอื่นเลย ทะเลแห่งนี้ดูเหมือนกับทะเลที่ถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำกลั่นที่ไม่มีอากาศและปราศจากแบคทีเรีย
ปราสาทที่ลอยอยู่บนผิวน้ำตอนนี้อยู่เบื้องหลังหานเซิ่น เขาผ่านปราสาทกว่าสามร้อยหลังขณะที่บินมา แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นทั้งหมดแล้ว
“ถ้าปราสาทแต่ละหลังมียักษ์หนึ่งตน แบบนั้นมันก็หมายความว่ามียักษ์สามร้อยตนอยู่ที่นี่ นั่นเป็นระดับเทพเจ้าจำนวนมาก! มันเกือบจะยิ่งใหญ่เหมือนกับตำนานที่เราได้ยินเกี่ยวกับเผ่าเซเคร็ด คนแบบไหนกันที่กักขังพวกเขาเอาไว้ที่นี่?” หานเซิ่นเริ่มรู้สึกกังวลเกี่ยวกับความแปลกประหลาดของสถานการณ์ทั้งหมดนี้
ที่สุดแล้วหานเซิ่นก็เห็นภูเขาลูกหนึ่งปรากฏที่ขอบฟ้า ภูเขาลูกนั้นค่อยๆบดบังทัศนวิสัยของเขามากขึ้นเรื่อยๆขณะที่เขาบินไปข้างหน้า
ยักษ์ที่อาจจะเป็นเผ่าเบรกสกายไปยืนรวมตัวกันอยู่ที่ตีนภูเขาลูกนั้น พวกมันทั้งหมดกำลังแกว่งหมัดใส่ภูเขา
คลื่นกระแทกจากหมัดของพวกมันซัดมาสู่ตัวเขา และหานเซิ่นก็ยืนยันถึงธรรมชาติของพลังพวกมันได้ มันเป็นวิชาเบรกซิกซ์สกายจริงๆ
แต่สิ่งที่ทำให้หานเซิ่นประหลาดใจคือเรื่องที่พวกมันไม่ได้กำลังต่อสู้ พวกมันกำลังใช้พลังของเบรกซิกซ์สกายเพื่อขุดหิน
ยักษ์ทั้งสามร้อยตัวดูเหมือนกับนักโทษที่ถูกใช้ให้ขุดเหมือง พวกมันชกใส่ภูเขาซ้ำๆและทำลายหินของภูเขาไปทีละนิด
ภูเขามีสีเทา แต่หานเซิ่นไม่รู้ว่าหินของภูเขาเป็นหินแบบไหนกันแน่ ถึงแม้พวกยักษ์จะปลดปล่อยพลังมหาศาลใส่ภูเขา แต่พวกมันก็ทำได้แค่สร้างรูขนาดเท่ากำปั้นเท่านั้น
ยักษ์ทั้งสามร้อยตนแกว่งหมัดอย่างไม่หยุดยั้งราวกับเครื่องจักร แต่ภูเขามีขนาดใหญ่เกินไป ในตอนที่เปรียบเทียบความคืบหน้าในการทำงานของพวกยักษ์ มันก็เห็นได้ชัดว่างานแทบจะไม่คืบหน้าเลยสักนิดเดียว
“พวกมันกำลังทำอะไรกันอยู่ หมัดของพวกมันทำลายก้อนหินจนแหลกละเอียด ดังนั้นพวกมันคงจะไม่ได้ต้องการก้อนหินพวกนั้น” หานเซิ่นมองไปที่ภูเขาด้วยความสงสัย
หานเซิ่นยังคงบินต่อไปเพื่อตรวจเช็คบริเวณใกล้เคียง แต่นอกจากภูเขากับยักษ์สามร้อยตนแล้ว เขาก็ไม่เห็นอะไรอย่างอื่นเลย มันมีแค่น้ำทะเลในทุกทิศทางที่เขามองออกไป
หานเซิ่นเข้าไปใกล้ภูเขาอีกนิดหนึ่ง แต่เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้จนเกินไป เขากังวลว่ามันอาจจะมีสิ่งชีวิตอื่นที่ซ่อนตัวอยู่
หานเซิ่นใช้เวลามองดูพวกยักษ์อยู่สักพัก แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าพวกมันกำลังทำอะไรกันอยู่
‘พวกมันคิดจะกำจัดภูเขาลูกนี้ออกไปให้พ้นทางอย่างนั้นใช่ไหม? หรือว่าบางทีในภูเขาลูกนี้อาจจะมีสมบัติอยู่?’ หานเซิ่นคิดด้วยความสนใจ
หานเซิ่นสังเกตภูเขาอย่างละเอียด ไม่มีใครรู้ว่ายักษ์ทั้งสามร้อยตนทำงานนี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่พวกมันก็ขุดได้แค่ส่วนน้อยของตีนภูเขา ถ้าพวกมันคิดจะขุดอุโมงค์ มันก็ต้องใช้เวลาอีกนานแสนนาน
‘ดูจากวิธีการที่พวกมันใช้ ดูเหมือนกับว่าพวกมันพยายามจะกำจัดภูเขาไปให้พ้นทางมากกว่าที่จะพยายามขุดเข้าไปในภูเขา’
หานเซิ่นคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว เขาตัดสินใจว่าจะบินไปอีกด้านหนึ่งของภูเขา บางทีเขาอาจจะได้ข้อมูลที่มาไขข้อสงสัยให้กระจ่าง
หานเซิ่นบินรอบภูเขาได้ไม่นานก่อนที่เขาจะได้เห็นบางสิ่ง เขาต้องหยุดชะงักไปเมื่อได้เห็นมัน
มันมีเสาโลหะขนาดใหญ่ถูกดันเข้าไปในภูเขา มันดูเป็นบางสิ่งที่เหมือนกับเสาสกายก็อต
แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือความจริงที่เสาโลหะแทงทะลุผ่านอกของยักษ์ตนหนึ่งอยู่ และมันก็ตรึงยักษ์ตนนั้นไว้กับภูเขา
ยักษ์ตนนั้นดูแข็งแกร่งยิ่งกว่ายักษ์ตนอื่น ชุดเกราะของมันเต็มไปด้วยเลือดที่แห้งเป็นสะเก็ด เส้นผมสีขาวที่เปื้อนเลือดยาวลงมาปกปิดใบหน้าของยักษ์ตนนั้น
หานเซิ่นไม่สามารถสัมผัสถึงพลังชีวิตของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่นี้ได้ แต่เขาสัมผัสได้ถึงตัวตนของมัน มันเป็นอะไรที่ยากจะบรรยาย แต่จู่ๆเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา
ยักษ์ที่ถูกตรึงกับภูเขาได้ตายไปแล้ว แต่หานเซิ่นยังรู้สึกราวกับว่าตัวตนของมันสามารถทลายดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ได้ มันเหมือนกับว่าท้องฟ้าและผืนดินถูกบังคับให้เชื่อฟังสัตว์ประหลาดตนนี้
“สิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วจะมีพลังแบบนี้ได้ยังไงกัน? และในตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่ มันจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหนกัน?”
หานเซิ่นรู้สึกตกใจ “นี่พวกยักษ์พยายามจะเคลื่อนย้ายภูเขาเพื่อนำร่างนี้ลงมาอย่างนั้นหรอ? แต่ถ้าเป็นแบบนั้น นั่นก็ดูเป็นอะไรที่โง่เขลา มันไม่ง่ายกว่าหรอที่จะขุดรอบเสาโลหะที่ตรึงร่างของยักษ์ตนนั้น? ถ้าพวกมันยังขุดตามเส้นทางต่อไป พวกมันก็ต้องขุดจนเกือบจะทะลุผ่านภูเขาเพื่อนำร่างนั้นลงมา”
หานเซิ่นไม่เข้าใจสิ่งที่พวกยักษ์กำลังคิด เขายังคงบินรอบๆภูเขาต่อไปเพื่อดูว่าจะหาอะไรอย่างอื่นได้ไหม
หานเซิ่นรู้สึกผิดหวังที่ไม่พบอะไรอย่างอื่น นอกจากร่างของยักษ์ที่ถูกตรึงไว้กับภูเขา
‘ยักษ์พวกนี้คงจะต้องการนำร่างนั้นลงมาจริงๆ แต่วิธีการขุดของพวกมันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด มันคงจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้พวกมันนำร่างนั้นลงมาไม่ได้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
หานเซิ่นมองดูพวกมันอยู่สักพัก เหล่ายักษ์ใช้หมัดของตัวเองชกใส่หินอย่างไม่ลดละ หานเซิ่นทำการคำนวณว่าโดยใช้ความเร็วในการทำงานของพวกมันในตอนนี้ ซึ่งมันต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งหมื่นปีก่อนที่พวกมันจะทำลายภูเขาทั้งลูกได้
เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง หานเซิ่นเงยหน้าขึ้นไปและเห็นเข็มทั้งสามชี้ไปที่ด้านบนสุดอีกครั้ง นั่นหมายถึงเวลาสิบสองนาฬิกา
เมื่อได้ยินเสียงระฆัง พวกยักษ์ที่กำลังชกใส่ภูเขาก็หยุดมือ หลังจากนั้นพวกมันทั้งหมดก็หันกลับหลังและเดินทางกลับไปยังสถานที่ที่พวกมันออกมา
หลังจากที่พวกยักษ์จากไปแล้ว หานเซิ่นก็เห็นบางสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ