หานเซิ่นมองขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่เอ็กซ์ควิสิท จู่ๆเขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นและสับที่หลังคอของเอ็กซ์ควิสิทเพื่อทำให้เธอสลบไป
ถ้าเอ็กซ์ควิสิทอยู่ในสภาพปกติ การจะทำให้เธอสลบคงไม่ง่ายแบบนี้ แต่ในตอนนี้เธอเหนื่อยล้าอย่างมาก และเธอก็ไม่ได้คาดคิดว่าหานเซิ่นจะโจมตีเธอ ดังนั้นเธอจึงสลบไปในทันที
“ต้องขอโทษด้วย แต่ข้าจะปล่อยให้ใครคนไหนรู้เกี่ยวกับมันไม่ได้”
หานเซิ่นอุ้มเอ็กซ์ควิสิทที่หมดสติขึ้นมาและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะเดียวกันดวงตาของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว หลังจากนั้นร่างกายทั้งร่างของเขาก็เรืองแสงออกมา ขณะที่เขาเปิดใช้งานโหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด
ถึงแม้การแปลงร่างเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น แต่พลังประหลาดที่อยู่บนร่างกายของหานเซิ่นก็หายไปในทันที มันหายไปอย่างสมบูรณ์
แต่ในชั่วครู่แสงสีขาวที่ส่องสว่างออกมาจากร่างกายของหานเซิ่นก็หายไปเช่นเดียวกัน และหานเซิ่นก็กลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง
“ในที่สุดมันก็หายไปสักที!” พลังประหลาดที่ห้อมล้อมตัวเขาอยู่หายไปแล้ว หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นก็อตสปิริตสตอร์มที่ก่อตัวขึ้นก็ไม่ได้หายไป มันยังคงอยู่บนท้องฟ้าเหนือหัวของเขา
ตูม! ตูม! ตูม!
ในตอนที่ฟ้าผ่า ทั้งท้องฟ้าก็กึ่งก้องด้วยเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าและฟ้าร้องเริ่มเกิดขึ้นในความถี่ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และมันทำให้ทั้งท้องฟ้าและผืนดินกลายเป็นมหาสมุทรของสายฟ้า
หานเซิ่นดูหม่นหมอง เขาไม่รู้ว่าก็อตสปิริตสตอร์มนั้นเป็นเศษพลังที่เหลืออยู่ของเป่าเหลียนหรือว่ามันไม่สลายไปเพียงเพราะว่ามันก่อตัวเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ตอนนี้เขาติดอยู่ภายในก็อตสปิริตสตอร์ม ความหวังที่จะหนีออกไปจากที่นี่อย่างง่ายดายได้หายไปแล้ว
พายุฝนฟ้าคะนองเป็นอะไรที่แปลก ถึงแม้มันจะมีสายฟ้าผ่าลงมา แต่สายฟ้าพวกนั้นก็ไม่ได้สร้างความเสียหายต่อสิ่งที่สัมผัสแต่อย่างใด มันเหมือนกับว่าสายฟ้านั่นเป็นของปลอม
แต่หานเซิ่นรู้ว่าสายฟ้าพวกนั้นเป็นของจริง เพียงแต่ธาตุของพวกมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างพิเศษ และตอนนี้เมื่อเขาอยู่ในพายุฝนฟ้าคะนอง เขาก็ไม่สามารถใช้การเทเลพอร์ตได้ บริเวณรอบๆดูเหมือนจะถูกปิดตายโดยก็อตสปิริตสตอร์ม
เอ็กซ์ควิสิทได้ใช้พลังไปจนหมดก่อนที่หานเซิ่นจะทำให้เธอสลบไป และถึงแม้เธอจะตื่นขึ้นมาด้วยพลังเต็มที่ เธอก็ไม่สามารถพาพวกเขาเทเลพอร์ตออกไปจากที่นี่ได้อยู่ดี
“ไม่รู้ว่าพวกเราจะหนีออกไปจากก็อตสปิริตสตอร์มนี้ได้ไหม”
หานเซิ่นไม่ลังเล ขณะที่ยังอุ้มเอ็กซ์ควิสิทอยู่ เขาบินผ่านพายุฝนฟ้าคะนองด้วยความเร็วสูงสุด
ตูม! ตูม!
ที่ไหนสักแห่งภายในพายุฝนฟ้าคะนอง สายฟ้าลูกใหญ่ฝ่าลงมา ภายในสายฟ้านั่น หานเซิ่นสังเกตเห็นเงาของบางสิ่งยืนอยู่บนพื้น
สายฟ้านั่นสว่างมากจนหานเซิ่นมองเห็นแค่เงาของมันเท่านั้น มันเป็นมอนสเตอร์ที่มีหัวและเขาของกระทิง แต่ปีกที่กางออกมาจากด้านหลังของมันดูเหมือนกับค้างคาว
นั่นคือทั้งหมดที่หานเซิ่นมองเห็นในตอนที่สายฟ้าผ่าลงมา
หานเซิ่นไม่กล้าอยู่ดูว่ามันคืออะไร เขาบินต่อไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุดแทน ขณะที่เขาบินต่อไป สายฟ้าลูกใหญ่ก็ผ่าลงมาตรงหน้าของเขา หานเซิ่นเห็นมอนสเตอร์ที่เหมือนกับกระทิงตัวก่อนมาปรากฏตรงหน้าของเขา และมันก็ค่อยๆเดินเข้ามา
ฟ้าร้องดังขึ้นในทุกการก้าวเดินของมัน ร่างกายของมันสูงกว่าหนึ่งร้อยเมตร และทุกก้าวของมันก็ก่อให้เกิดแผ่นดินไหว
หานเซิ่นรู้สึกขนลุกขึ้นมา เขารู้ว่าตัวเองถูกเล็งเป้าโดยซีโน่เจเนอิคที่น่ากลัว ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่ได้เผชิญหน้ากัน แต่หานเซิ่นก็สัมผัสได้ว่าพลังชีวิตของมันไม่ใช่ระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟ
“เครื่องสังเวย เจ้าเรียกข้าอย่างนั้นหรอ?” มอนสเตอร์กระทิงที่ใหญ่โตยืนอยู่ท่ามกลางสายฟ้าที่ฝ่าลงมา ตัวของมันเองเป็นเหมือนกับสายฟ้า ดวงตาของมันใหญ่จ้องตรงมาที่หานเซิ่น เสียงของมันดังก้องจนหานเซิ่นได้ยินอย่างชัดเจนภายในพายุฝนฟ้าคะนอง
ถึงแม้มันจะมองมาที่หานเซิ่น แต่เจ้ามอนสเตอร์ดูสับสน มันไม่แน่ใจว่าหานเซิ่นใช่เครื่องสังเวยของมันหรือเปล่า
หานเซิ่นสะดุ้งและคิดกับตัวเอง ‘ไอ้เป่าเหลียนเวรนั่น! พลังของเขาวางเครื่องหมายเครื่องสังเวยไว้บนตัวของฉันอย่างนั้นหรอ? ไม่แปลกใจเลยที่ก็อตสปิริตสตอร์มไล่ตามเรา เขาทำให้เราเป็นเครื่องสังเวยของซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า’
“ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่เครื่องสังเวยของเจ้า เจ้าควรจะไปมองหามันที่อื่น”
หานเซิ่นไม่แน่ใจว่าเจ้ามอนสเตอร์จะเข้าใจที่เขาพูดหรือไม่ แต่มันดูจะมีสติปัญญา ถ้าเจ้ามอนสเตอร์สามารถใช้เหตุผลด้วยได้ บางทีพวกเขาก็อาจจะแก้ไขสถานการณ์นี้โดยการพูดคุยกันดีๆ
มอนสเตอร์กระทิงได้ยินสิ่งที่หานเซิ่นพูด แต่มันไม่ได้จากไป มันมองไปที่เขาและเอ็กซ์ควิสิท
“เจ้าอาจจะไม่ใช่เครื่องสังเวยของข้า แต่ในเมื่อข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะไม่กลับไปมือเปล่า ข้าต้องพาหนึ่งในพวกเจ้ากลับไปในฐานะเครื่องสังเวย” เสียงของกระทิงดังก้องราวกับฟ้าร้อง
หานเซิ่นเข้าใจว่าเจ้ามอนสเตอร์นั้นหมายความว่ายังไง คนใดคนหนึ่งระหว่างเขากับเอ็กซ์ควิสิทต้องไปกับมัน
หานเซิ่นมองเอ็กซ์ควิสิทที่หมดสติ มันไม่มีใครจะมาหยุดเขาจากการมอบตัวเธอให้กับมันได้ แต่เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เธอพยายามจะช่วยชีวิตเขา เขาก็รู้ว่าการมอบเธอให้กับเจ้ามอนสเตอร์นั้นไม่ใช่ตัวเลือก
แต่หานเซิ่นไม่ต้องการจะสังเวยตัวเองเช่นกัน
“พวกเราทั้งคู่เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่อ่อนแอ พวกเราไม่เหมาะสมจะเป็นเครื่องสังเวยของเจ้า ทำไมเจ้าไม่ไปหาเครื่องสังเวยอื่นที่ดีกว่า?”
มอนสเตอร์กระทิงไม่ได้พูดอะไร มันยืนอย่างเงียบๆขณะที่เสียงฟ้าร้องยังคงดังอย่างต่อเนื่องทั่วท้องฟ้า
ถึงแม้มันจะไม่พูด แต่หานเซิ่นก็เข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไง มันได้ติดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าจะเอาหนึ่งในพวกเขาไปในฐานะเครื่องสังเวย
“เครื่องสังเวยจำเป็นต้องเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างนั้นหรอ? มันพอจะเป็นอย่างอื่นได้ไหม?” หานเซิ่นถาม
“ข้าไม่รังเกียจที่จะเอาโล่ที่เจ้าแบกอยู่บนหลัง” มอนสเตอร์กระทิงพูด
หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ เขารู้ในทันทีว่าโล่ที่มอนสเตอร์กระทิงกำลังพูดถึงคือโล่เมดูซ่าส์เกซ
‘เจ้าตัวนี้เฉลียวฉลาด แต่มันเป็นแค่ซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่ง มันไม่ใช่เผ่ากาน่า แบบนั้นมันจะอยากได้โล่เมดูซ่าส์เกซไปทำไม?’
หานเซิ่นรู้สึกสับสน ดังนั้นเขาจึงถามมอนสเตอร์กระทิง “เจ้าต้องการโล่นี้ไปทำอะไร? โล่นี่เป็นสมบัติของเผ่ากาน่า ถ้าไม่มีเลือดของเผ่ากาน่า เจ้าจะเปิดใช้งานมันไม่ได้”
แต่หลังจากนั้นเมื่อหานเซิ่นลองคิดเกี่ยวกับมันดูดีๆ เขาก็เข้าใจว่าทำไมมอนสเตอร์กระทิงถึงมายืนคุยกับพวกเขาแทนที่จะเข้ามาโจมตีพวกเขาในทันที
‘เจ้านี่หวาดกลัวโล่เมดูซ่าส์เกซ นั่นเป็นเหตุผลที่มันยังไม่เข้ามาโจมตีเรา’
เมื่อรู้สึกตัวถึงเรื่องนี้ มันก็ทำให้หานเซิ่นโล่งใจอย่างมาก ถ้ามอนสเตอร์กระทิงมีเหตุผลที่จะหวาดกลัวหานเซิ่น แบบนั้นเขาและเอ็กซ์ควิสิทก็มีโอกาสที่จะหนีไปได้
หานเซิ่นไม่คิดจะมอบโล่เมดูซ่าส์เกซให้กับมัน อีกฝ่ายเป็นแค่ซีโน่เจเนอิค ไม่มีใครรู้ว่ามันจะรักษาสัญญาหรือเปล่า หานเซิ่นจะไม่ปล่อยให้คนอื่นควบคุมชะตากรรมของเขา
‘ดูเหมือนมันจะไม่รู้ว่าเราใช้โล่เมดูซ่าส์เกซไม่ได้ นี่เป็นโอกาสของเรา’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง