ในตอนแรกหานเซิ่นคิดว่ากำแพงโบราณจะเป็นสถานที่ที่ลึกลับ แต่น่าประหลาดใจที่มันเป็นแค่กำแพงธรรมดาที่อยู่บนภูเขา นอกจากภาพวาดที่อยู่บนกำแพงแล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
ภาพบนกำแพงนั้นเป็นอะไรที่แปลกประหลาด หานเซิ่นต้องผ่านระบบป้องกันหลายชั้นก่อนที่เขาจะมาถึงที่นี่ แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้ผ่านระบบป้องกันเข้าไป หานเซิ่นก็คงจะคิดว่าภาพพวกนี้เป็นสิ่งที่ถูกวาดโดยจิตรกรธรรมดาๆมากกว่าจะเป็นยอดฝีมือจากโบราณกาล
ในตอนที่พวกเขามาถึงกำแพงโบราณ หานเซิ่นก็เห็นว่ามีเวรี่ไฮหลายคนอยู่ที่นี้ บางคนกำลังนั่ง บางคนกำลังยืน บางคนจ้องไปที่กำแพงและบางคนลดหัวลงต่ำอย่างครุ่นคิด มันดูเหมือนกับว่าพวกเขาทุกคนกำลังพยายามจะสัมผัสบางสิ่งจากภาพวาดบนกำแพง
เวรี่ไฮบางคนที่อยู่ที่นี่เป็นบุคคลที่น่ากลัวมากๆ แม้แต่ในหมู่เผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาก็จะถือว่าเป็นยอดฝีมือชั้นสูง
หานเซิ่นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เอ็กซ์ควิสิททำท่าทางบอกให้เขาเงียบๆ หลังจากนั้นเธอก็บอกให้เขามองไปที่รูปภาพ
เมื่อหานเซิ่นเห็นว่าเอ็กซ์ควิสิทและหลี่เคอเอ๋อมองเวรี่ไฮรอบๆอย่างระมัดระวัง เขาก็รู้สึกตัวว่าพวกเธอพยายามจะไม่ไปรบกวนคนอื่น
หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไร เขาแค่เคลื่อนที่เข้าไปเพื่อดูภาพบนกำแพง เอ็กซ์ควิสิทและหลี่เคอเอ๋ออยู่ข้างๆเขาและมองไปที่กำแพงเช่นเดียวกัน
ขณะที่พวกเธอพยายามทำความเข้าใจภาพบนกำแพง พวกเธอก็ให้ความสนใจกับสิ่งที่หานเซิ่นกำลังคิด การที่เข้าถึงมุมมองของหานเซิ่นนั้นจะทำให้พวกเธอเรียนรู้ได้มากขึ้น
แต่ไม่ใช่ว่าพวกเธอใช้ประโยชน์จากหานเซิ่น เพราะยังไงซะถ้าเขาไม่ได้กลายเป็นตัวไหมของเผ่าเวรี่ไฮ เขาก็จะไม่มีวันได้เห็นภาพวาดบนกำแพงนี้ตั้งแต่แรก
ทั้งภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยภาพวาด ซึ่งหมายความว่ามันมีอยู่มากมายเหนือจินตนาการ หานเซิ่นต้องการหาจุดเริ่มต้นของภาพ เมื่อเขาพบจุดเริ่มต้นแล้ว เขาก็จะตามภาพวาดขณะที่พวกมันดำเนินต่อไป
แต่หลังจากที่ค้นหาอยู่สักพัก เขาก็ยังไม่รู้ว่าภาพวาดนั้นเริ่มตรงไหน
งานศิลปะที่แปลกประหลาดนี้เป็นบางสิ่งที่หานเซิ่นไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว ภาพศิลปะนามธรรมหลายภาพดูเหมือนจะมารวมเข้าด้วยกันเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งมันไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ มันยากที่จะบอกได้ว่าพวกมันทั้งหมดหมายถึงอะไร ถ้าภาพวาดนี้ไม่ได้ไหลลื่นและสวยงาม หานเซิ่นก็คงจะคิดว่ามันเป็นภาพที่เด็กคนหนึ่งวาดขึ้นมั่วๆ
เอ็กซ์ควิสิทสัมผัสได้ถึงสิ่งที่หานเซิ่นกำลังคิด เธอกระซิบบอกหานเซิ่น
“มันไม่มีใครรู้ว่าภาพนี้เริ่มต้นที่ตรงไหน และไม่มีใครรู้ว่าภาพวาดนี้หมายถึงอะไร เจ้าควรจะเริ่มต้นจากรอยขีดข่วนนี่ก่อน”
หานเซิ่นพยักหน้า เขาไม่พบเบาะแสอะไร ดังนั้นเขาจึงทำตามที่เอ็กซ์ควิสิทแนะนำ เขาโฟกัสไปที่รอยขีดข่วนบนหิน
จิตใจของหานเซิ่นไม่ได้ด้อยไปกว่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าทั่วๆไป หลังจากที่มองภาพวาดอยู่สักพัก หานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่ามันถูกวาดขึ้นโดยนิ้วมือของคน พวกมันไม่ได้เป็นรอยที่เกิดขึ้นจากอาวุธ และพวกมันก็ไม่ได้สง่างามเหมือนกับการเขียนด้วยปากกาเช่นกัน มันเป็นอะไรที่แปลกมากๆ
ถึงแม้เขาจะไม่แน่ใจว่าจิตใจที่แฝงอยู่ในรูปภาพเป็นจิตใจแบบไหนกันแน่ แต่เขาก็รู้ว่าคนที่วาดภาพทั้งหมดนี้นั้นมีจิตใจที่แข็งแกร่ง จิตใจของหานเซิ่นเองก็ถือว่าแข็งแกร่งเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับจิตใจของคนที่วาดภาพนี้แล้ว จิตใจของหานเซิ่นถือว่าเรียบง่ายและมีระดับต่ำ
หานเซิ่นไม่ได้รีบร้อนที่จะทำความเข้าใจจิตใจที่แฝงอยู่ในรอยขีดข่วนนั้น ก่อนอื่นเขาอยากจะมองดูภาพวาดในภาพรวมซะก่อน หลังจากนั้นเขาก็จะค่อยๆตรวจดูแต่ละภาพถึงรายละเอียดของพวกมัน
แต่ไม่สำคัญว่าเขาจะพยายามมองดูและทำความเข้าใจมากสักแค่ไหน เขาก็ไม่เข้าใจอะไรเลย เขาไม่แม้แต่จะหาเบาะแสอะไรได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงกลับมาเริ่มต้นที่รอยขีดข่วนอีกครั้ง
“จิตใจในรอยขีดข่วนนี้ถูกทิ้งเอาไว้โดยเวรี่ไฮที่ใช้พลังในการการวาด ความหมายที่ถูกทิ้งเอาไว้ในภาพวาดและรอยขีดข่วนบนหินนั้นแตกต่างกัน การเปิดเผยความลับของภาพวาดคงจะไม่ช่วยให้เราเข้าใจจิตใจที่ถูกสลักเอาไว้ในหินนี่ แต่ในทางกลับกันมันไม่มีใครคาดหวังให้เราเปิดเผยความลับของภาพ ถ้าเราเข้าใจความหมายของรอยข่วนนี้ได้ การเดินทางมาในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่า”
หานเซิ่นสงบจิตใจและโฟกัสไปที่ทำความเข้าใจความหมายของรอยขีดข่วนบนหิน
ในตอนแรกรอยขีดข่วนนั้นมอบความประทับใจของเมฆที่เลื่อนลอยให้กับหานเซิ่น แต่เมื่อความเข้าใจในรอยขีดข่วนนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น มันก็ทำให้เขาคิดอย่างหยุดไม่ได้
มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับคนที่รักการอ่านหนังสือที่ค้นพบหนังสือที่น่าหลงใหล หานเซิ่นถูกดึงดูดและเขาไม่ต้องการจะปลีกตัวออกมาแม้แต่วินาทีเดียว เขาต้องการจะอ่านต่อและหาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ความประทับใจที่สองที่เขาได้รับนั้นถูกบรรยายได้ด้วยคำว่า “ประหลาด” ทุกจิตใจมักจะมีธีมของมันอยู่ ยกตัวอย่างเช่นจิตของวิชาใต้นภาของหานเซิ่น ธีมของมันคือทุกสิ่งในจักรวาลเป็นเพียงแค่ตัวหมากรุกตัวหนึ่ง
แต่จิตใจในรูปภาพนี้เป็นอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ ถ้าเราจะบรรยายจิตใจของคนธรรมดาทั่วๆไป เราอาจจะบอกได้ว่ามันเหมือนกับต้นไม้ ภูเขาหรือแม่น้ำ แต่ถ้าสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวแทนของจิตใจธรรมดาๆ จิตใจของภาพวาดนี้ก็เป็นเหมือนกับหางว่าวที่มีความยาวหนึ่งหมื่นไมล์
ทุกเส้นตรงและทุกเส้นโค้งมีจิตใจที่แตกต่างกัน ส่วนหนึ่งสามารถเป็นภูเขาหรือเป็นแม่น้ำ อีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นก้อนเมฆหรือเม็ดดิน ส่วนโค้งของภาพวาดสามารถเป็นดอกไม้ นก แมลงหรือแม้แต่ปลา การเปลี่ยนแปลงของจิตใจนั้นดึงดูดผู้ชมเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้พวกเขาไม่สามารถหยุดดูมันได้ ในก้าวๆเดียวหานเซิ่นเห็นภาพที่แตกต่างกันสามภาพ ทุกเส้นตรงและทุกเส้นโค้งเต็มไปด้วยความคิดที่มหัศจรรย์ มันทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาได้ว่าภาพต่อไปจะเป็นอะไร
“ไม่แปลกใจเลยที่เอ็กซ์ควิสิทบอกว่าจิตใจของสิ่งมีชีวิตที่ได้มาที่กำแพงโบราณนี้จะได้รับการส่งเสริม จิตใจบนกำแพงนี่ดูเหมือนจะครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง” ถึงแม้หานเซิ่นจะได้เห็นมันกับตาตัวเอง มันก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างเหลือเชื่อ
หานเซิ่นสงสัยว่าบรรพบุรุษของเวรี่ไฮคนนี้ต้องเป็นอัจฉริยะขนาดไหนกันถึงสามารถวาดภาพทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว
ถ้าเผ่าเวรี่ไฮไม่ได้ยืนยันว่าภาพบนกำแพงโบราณถูกวาดโดยคนๆเดียว หานเซิ่นก็คงจะคิดว่าภาพวาดทั้งหมดนี้เป็นผลงานของคนหลายคน เพราะคนๆหนึ่งจะมีจิตใจมากมายขนาดนี้ได้ยังไง? มันไม่สมเหตุสมผล
ถึงแม้หานเซิ่นจะมีสติปัญญาและความสามารถในการเรียนรู้ที่สูง แต่เขาก็เดินบนวิถีทางเดียวเท่านั้น เขาไม่สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในจักรวาลนี้
“ถ้าทั้งหมดนี่ถูกวาดโดยคนๆเดียว จิตใจของบรรพบุรุษคนนี้ก็ต้องสุดยอดมากๆ เขาคงจะต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในจักรวาลนี้” หานเซิ่นพึมพำขณะที่ตรวจดูภาพวาด
หานเซิ่นยังคงวิเคราะห์ภาพวาดไปทีละภาพ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเรียนรู้พวกมันได้ทั้งหมด แต่เพียงแค่ได้สัมผัสจิตใจต่างๆของรูปภาพก็เป็นเรื่องดีแล้ว มันจะช่วยให้เขาทีมุมมองใหม่ๆ
ขณะที่หานเซิ่นทำการสังเกตต่อไป จู่ๆเขาก็รู้สึกตกใจ ขนบนผิวของเขาลุกขึ้นมา จิตใจนี้เป็นอะไรที่บิดเบี้ยวและแปลกประหลาด ขณะที่ทำการสังเกตรูปภาพ หานเซิ่นก็สัมผัสกับจิตใจมากเกินไปจนมันเริ่มสั่นคลอนศรัทธาของเขา
มันเหมือนกับนักศึกษาจบใหม่ที่ได้รับคำเชิญจากบริษัทใหญ่นับไม่ถ้วน หนึ่งในพวกเขาบอกว่า “มาเป็นทนายความที่บริษัทของฉัน การเป็นทนายความมีประโยชน์มากมาย นายจะได้รับเงินจำนวนมาก” อีกบริษัทบอกว่า “มาเป็นหมอในบริษัทของฉัน การเป็นหมอจะทำให้นายโด่งดัง และชื่อเสียงของนายจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด”
ทุกบริษัทบอกว่าบริษัทของพวกเขาดีที่สุด และทุกบริษัทก็ดูน่าดึงดูดทั้งนั้น สำหรับนักศึกษาที่เพิ่งรับปริญญาแล้ว การถูกดึงดูดจากทุกทิศทุกทางทำให้พวกเขาหลงทาง