หานเซิ่นและคนอื่นๆเดินทางกลับทางเก่าเพื่อกลับไปที่ลอสท์แลนด์ พวกเขาไม่ได้เจอกับอุปสรรคอะไรในระหว่างการเดินทาง พวกเขาออกจากระบบจักรวาลร้างได้อย่างปลอดภัย
ระหว่างกลับไปยังเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง หานเซิ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับชื่อไท่อีที่ถูกพูดถึงในม้วนกระดาษ
“นั่นคือไท่อีคนเดียวกับที่เป่าเอ๋อและคนอื่นๆเคยพบหรือเปล่านะ?”
ในตอนที่พวกเขาขุดเข้าไปในเมืองดูก็อต พวกเขาขุดหินประหลาดก้อนหนึ่งขึ้นมาได้ ในตอนที่หานเซิ่นและคนอื่นๆเข้าไปสำรวจในเมืองดูก็อต เป่าเอ๋อบอกว่ามีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา เขาบอกว่าชื่อของเขาคือไท่อี เขาบอกเป่าเอ๋อว่าฝากทักทายพ่อของเธอด้วย
ในตอนที่เป่าเอ๋อเล่าให้หานเซิ่นฟัง เขาก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ จากคำบรรยายของเป่าเอ๋อ หานเซิ่นบอกได้ว่าเขาไม่รู้จักกับคนที่ชื่อไท่อีคนนี้ เมื่อก่อนหานเซิ่นยังคงสงสัยว่าไท่อีนั้นอาจจะรู้เกี่ยวกับประวัติของเป่าเอ๋อ พ่อของเธอที่เขาพูดถึงนั้นอาจจะเป็นพ่อทางสายเลือดของเธอ
หลังจากนั้นเป็นต้นมา หานเซิ่นก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับคนที่ชื่อไท่อีอีกเลย เวลาผ่านมานานซะจนหานเซิ่นเกือบจะลืมเกี่ยวกับเขาไปซะสนิทเลย
ตอนนี้เมื่อหานเซิ่นเห็นชื่อไท่อีและตัวอักษรที่อ่านได้ว่า “ฆ่าพระเจ้า” ในม้วนกระดาษของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็ทำให้หานเซิ่นเริ่มจะคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของไท่อีอีกครั้งหนึ่ง
แต่การคาดเดาก็ยังคงเป็นแค่การคาดเดา หานเซิ่นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไท่อีที่ถูกพูดถึงในม้วนกระดาษนั้นเป็นไท่อีคนเดียวกับที่เขาได้ยินมาจากเป่าเอ๋อหรือเปล่า มันเป็นอะไรที่ยากยืนยันได้
หานเซิ่นตามลุงสองและคนอื่นๆกลับไปที่เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง ระหว่างทางกลับนั้นเหล่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าปฏิบัติกับหานเซิ่นต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง พวกเขารู้สึกนับถือหานเซิ่น
นี่ถือเป็นโอกาสดีที่หานเซิ่นจะหนีไปจากเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง แต่เขาเลือกที่จะยังไม่หนีไปในตอนนี้ เขาตามคนอื่นกลับไปที่เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง
หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘ถ้าเราหนีไปตอนนี้ เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงก็คงจะพูดเรื่องที่เราฆ่าพระเจ้าออกไป ซึ่งนั่นอาจจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวในจีโนฮอลล์เล็งเป้ามาที่เรา แต่ถ้าเรากลับไปที่เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง พวกเขาก็จะคิดว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา และพวกเขาก็คงจะไม่เอาเรื่องที่เราฆ่าอีวิลโลตัสไปบอกคนอื่น เพราะมันมีแต่จะนำปัญหามาสู่เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง แถมเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงยังมีซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้ามากมายให้เราฆ่า มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะหนีไปในตอนนี้’
หานเซิ่นเคยคิดว่าตัวเองอ่อนแอเกินไปที่จะอยู่ในเอ็กซ์ตรีมคิงต่อไป แต่ตอนนี้เขามีวิญญาณอสูรดาบโคลด์ไลท์ที่สมบูรณ์ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรมากนัก
ด้วยพลังของดาบโคลด์ไลท์ ถึงแม้เขายังจะไม่สามารถต่อกรกับยอดฝีมือขั้นทรูก็อตได้ แต่เขาก็พอจะตอบโต้ได้เล็กน้อย
หานเซิ่นกำลังเล่นกับดอกบัวสีม่วงอยู่ในมือ ขณะที่คิดเกี่ยวกับวิธีที่จะดูดซับมัน มันน่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำอะไรกับยีนเทพสปิริตทั้งสองได้
‘ถ้าเราดูดซับหนึ่งในพวกมันเข้าไปได้ บางทีเราอาจจะวิวัฒนาการไปสู่ขั้นทรูก็อตโดยตรงได้เลย’
หลังจากที่กลับไปที่เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง ราชาไป๋ก็เรียกพวกเขาไปพบ ลุงสองและคนอื่นๆรายงานเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบจักรวาลร้างให้ราชาไป๋ฟัง
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ราชาไป๋ไม่ได้ถามว่าทำไมหานเซิ่นถึงมีพลังมากขนาดนั้น หรือสั่งให้หานเซิ่นมอบสิ่งประจำตัวของพระเจ้าและม้วนกระดาษให้กับเขา
หลังจากการเข้าพบในครั้งนั้น ทุกอย่างก็กลับไปเป็นปกติเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หานเซิ่นไม่ได้เห็นหน้าราชาไป๋อีกเลย และมันมีแค่เป่าอิงเท่านั้นที่มาหาเขาทุกๆวันเพื่อสอนเขาเกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติ
หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘นี่ราชาไป๋กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? ถ้าเราจะหนีไป เราก็หนีไปได้อย่างง่ายดาย เรามีความลับซ่อนอยู่มากมาย แต่แล้วเขากลับไม่แสดงความสนใจ แม้แต่สมบัติที่มีค่าอย่างสิ่งประจำตัวของพระเจ้า เขาก็ยังไม่ถามเกี่ยวกับมัน นี่จริงๆแล้วเขาต้องการอะไรกันแน่?’
ถ้าราชาไป๋มีแผนที่จะทำการทดสอบเขา หานเซิ่นก็จะรู้สึกวางใจมากขึ้น ถ้าอีกฝ่ายยินดีจะเผยไพ่ในมือของตัวเอง อย่างน้อยเขาก็จะได้รู้ถึงความคิดของอีกฝ่าย แต่ราชาไป๋กลับไม่ยอมเผยไพ่ในมือเลย ซึ่งทำให้เขาสับสนอย่างมาก เขาคิดว่าราชาไป๋เป็นบุคคลที่ลึกลับและยากจะเข้าใจได้
หลังจากนั้นพักใหญ่หานเซิ่นก็ใช้เวลาแต่ละวันไปกับการกินและนอน ยีนระดับเทพเจ้าของเขาค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและไม่นานเกินรอมันก็ครบหนึ่งร้อยยีน
“ถึงเวลาที่จะวิวัฒนาการไปสู่ขั้นลาร์วา หลังจากที่เรากลายเป็นขั้นลาร์วา หวังว่าร่างกายของเราจะกลับเป็นปกติอีกครั้ง” หานเซิ่นรู้สึกดีใจ แต่เขาไม่ได้ทำการวิวัฒนาการสู่ขั้นลาร์วาในทันที
ที่นี่เป็นสถานที่ของเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงและตัวตนของเขาในตอนนี้ก็คือตัวตนของโฮลี่เบบี้ ถ้าเขาวิวัฒนาการสู่ขั้นลาร์วาและกลับมาเป็นหานเซิ่นอีกครั้งหนึ่ง มันก็จะเป็นเหมือนกับการป้อนแกะลงในปากเสือโดยตรง
โชคดีที่ราชาไป๋ไม่ได้จำกัดอิสรภาพของเขา หานเซิ่นหาข้ออ้างเพื่อนำยานรบลำหนึ่งเดินทางออกไปจากอาณาจักรของกษัตริย์ เขาพบดาวดวงหนึ่งที่เป็นของเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงแต่ไม่มีใครอาศัยอยู่ ขณะที่เขาอยู่ที่นั่น เขาก็เริ่มวิวัฒนาการร่างกายของเขา
ในตอนที่กระบวนการวิวัฒนาการเริ่มต้นขึ้น หานเซิ่นก็รู้สึกว่าเซลล์ในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ร่างกายของหานเซิ่นค่อยๆใหญ่โตขึ้นอย่างช้าๆ ไม่นานเขาก็กลับไปสู่ร่างผู้ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
หานเซิ่นยังคงอยู่ในโหมดร่างต่อสู้ซีโน่เจเนอิค ร่างกายของเขาดูงดงามอย่างประหลาด ซึ่งนั่นเป็นเพราะเขายังคงรวมร่างกับมนตรา มันทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนเหมือนกับผู้หญิง
“ในที่สุดเราก็จะกลับเป็นผู้ใหญ่อีกครั้ง!” หานเซิ่นดีใจ เขาไม่ชอบการมีร่างกายเป็นเด็ก เขาคิดว่าร่างกายของเขาในขณะนี้มันสบายกว่ามาก
หานเซิ่นวิวัฒนาการสู่ขั้นลาร์วาสำเร็จได้ด้วยดี เขารู้สึกว่าพลังกลับคืนมาอีกครั้ง ร่างกายของเขาในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาล มันมากกว่าตอนที่เขาใช้วิญญาณอสูรหมาป่าสกายสตาร์ซะอีก
“นี่คือพลังที่แท้จริงของเรา” หานเซิ่นรู้สึกภูมิใจกับตัวเอง ในตอนที่เขาพยายามจะยกเลิกโหมดซีโน่เจเนอิค เขาพบว่าไม่สามารถทำได้
“จากนี้ไปเราจะต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นรู้สึกหดหู่กับเรื่องนั้น แต่เขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
ถึงแม้ในตอนนี้เขาจะดูงดงามขึ้นมาก แต่หานเซิ่นยังคงอยากได้ใบหน้าเก่ากลับคืนมา
“ในตอนนี้เราแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก เราจะเปิดม้วนกระดาษนั่นได้ไหมนะ” หานเซิ่นนำม้วนกระดาษนั้นออกมา เขารวบรวมพลังและพยายามจะเปิดมันออกอีกครั้งหนึ่ง
ม้วนกระดาษค่อยๆถูกเปิดออกและเขาก็เห็นชื่อของไท่อีอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากพลังของหานเซิ่นในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าในตอนที่เขาใช้วิญญาณอสูรหมาป่าสกายสตาร์ ม้วนกระดาษจึงถูกเปิดออกได้มากกว่าเดิม อักษรอีกแถวหนึ่งปรากฏออกมาให้เห็น
“เพอเพิลไฟต์… ฆ่าพระเจ้า…” ในตอนที่หานเซิ่นเห็นชื่อนั้น เขาก็รู้สึกตกใจ
ไท่อีนั้นอาจจะมีคนที่มีชื่อซ้ำกันอยู่ แต่เพอเพิลไฟต์นั้นเป็นชื่อที่ไม่น่าจะมีใครเหมือน ยอดฝีมือที่ใช้ชื่อนั้นในจักรวาลมีเพียงแค่เพอเพิลไฟต์ผู้โด่งดังที่เป็นหนึ่งในสิบขุนพลของเซเคร็ด
หานเซิ่นเคยเห็นเพอเพิลไฟต์มาก่อน แต่เดี๋ยวนี้เพอเพิลไฟต์นั้นไม่ได้อยู่ดีนัก เขาใช้เวลาไปกับการขี่รถม้าปีศาจในระบบเทียนเซียแร่ร่อนไปเรื่อยๆ
ตอนนี้เมื่อผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักวิจัยของเซเคร็ดออกมาจากภูเขาสองโลกแล้ว เพอเพิลไฟต์เองก็คงจะออกไปจากที่นั่นแล้วเช่นเดียวกัน