ในตอนที่สายตาพวกเขากลับมามองเห็นอีกครั้ง สิ่งที่เห็นก็ทำให้พวกเขาประหลาดใจ พวกเขาอยู่ในปากของซีโน่เจเนอิคขนาดยักษ์ แต่หลังจากที่มองดูดีๆ พวกเขาก็ค้นพบว่ามันเป็นปากของซีโน่เจเนอิคที่ตายไปแล้ว
โครงกระดูกของซีโน่เจเนอิคยักษ์นั้นดูเหมือนกับโครงกระดูกของไดโนเสาร์ที่มีปีกอยู่บนหลัง แต่มันมีแค่กระดูกเท่านั้นที่เหลืออยู่
บนพื้นใต้โครงกระดูกของซีโน่เจเนอิค ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะกลายเป็นหิน พื้นผิวนั้นดูหยาบมากๆ มันมีรอยแกะสลักที่เป็นสัญลักษณ์และลวดลายต่างๆอยู่บนกระดูก มันมีคริสตัลประหลาดอยู่บนสัญลักษณ์และลวดลายพวกนั้น
“นี่คือมังกรปีศาจอวกาศ…” ไป๋ชางลังพูดขณะที่จ้องไปที่โครงกระดูก
“นี่จะต้องเป็นโครงกระดูกของมังกรปีศาจอวกาศขั้นทรูก็อต ตำนานกล่าวว่ามังกรปีศาจอวกาศนั้นมีพลังในการเทเลพอร์ต ท่านอัลฟ่าใช้กระดูกของมังกรปีศาจอวกาศขั้นทรูก็อตเพื่อสร้างเครื่องเทเลพอร์ตขึ้นมา มันเป็นอะไรที่แพงมากๆ” ไป๋ว่านเจี้ยพูด
องค์ชายและองค์หญิงทั้งหมดรู้สึกชื่นชมวิธีการของเอ็กซ์ตรีมคิงอัลฟ่า แต่หานเซิ่นไม่ได้คิดว่าสถานที่แห่งนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยเอ็กซ์ตรีมคิงอัลฟ่า
ขณะที่พวกเขาเดินออกไปจากโครงกระดูกของมังกรปีศาจอวกาศ พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง มันมีทะเลล้อมรอบ แต่น้ำทะเลนั้นดำมืดราวกับหมึกและมันไม่มีคลื่น
หานเซิ่นมองไปที่ด้านซ้ายของเกาะและสังเกตเห็นสะพานไม้ มันเป็นเส้นทางที่ใช้ข้ามทะเล ถึงแม้ในทะเลจะเต็มไปด้วยเมฆหมอก แต่พวกเขาก็ยังเห็นว่าที่ปลายของสะพานไม้นั้นคือเกาะอีกเกาะหนึ่ง
เนื่องจากเมฆหมอกนั้นหนามากๆ พวกมันจึงขัดขวางแสงสว่างที่จะส่องลงมา ซึ่งทำให้การมองเห็นของพวกเขานั้นแย่ลงไป พวกเขาเห็นแค่เงาลางๆของเกาะเท่านั้น
องค์ชายและองค์หญิงส่วนใหญ่พยายามใช้วิชาจีโนเพื่อมองไปที่เกาะ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิชาแบบไหน พวกเขาก็ไม่สามารถมองทะลุผ่านเมฆหมอกสีเทาที่บดบังเกาะไปได้
องค์ชายดาบดาราพูดขึ้นมา “ดูเหมือนว่าเกาะนั่นจะเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเรา พวกเราควรไปที่เกาะนั่นก่อน” เขาเริ่มบินออกไปที่เกาะนั่น
เขาบินขึ้นไปได้ประมาทเก้าฟุต ก่อนที่จะมีเสียงร้องดังขึ้นมา องค์ชายดาบดาราถูกกดลงกับพื้น มันเหมือนกับว่าตัวเขากำลังถูกแม่เหล็กดูด
เนื่องจากองค์ชายดาบดาราไม่ได้ทันตั้งตัว เขาจึงร่วงลงมากระแทกกับพื้นอย่างแรง
“อาณาเขตจำกัดการเคลื่อนไหวทางอากาศ” ไป๋ว่านเจี้ยพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
ความสูงแค่นั้นมากพอจะทำให้องค์ชายดาบดาราร่วงลงมาแบบนั้นได้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นอาณาเขตจำกัดการเคลื่อนไหวทางอากาศ
“เพราะแบบนี้นี่เองมันถึงได้มีสะพานไม้อยู่” ไป๋หลิงซวงพูดขณะที่มองไปที่สะพานไม้
เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์ชายดาบดารา มันก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเสี่ยงๆอีก พวกเขาสังเกตการณ์อยู่สักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจว่าสะพานนั้นคือหนทางเดียวที่จะไปต่อ องค์ชายและองค์หญิงก้าวขึ้นไปบนสะพานเพื่อเดินไปยังเกาะที่อยู่ตรงหน้า
“ทะเลนี่มันคืออะไรกัน? น้ำนั้นดำมืดเหมือนกับหมึก ข้าไม่เห็นอะไรที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำเลย แถมมันยังไม่มีคลื่นราวกับว่ามันไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆภายในน้ำ” องค์ชายดาบดารามองลงไปในทะเล ขณะที่เดินข้ามสะพาน ดูเหมือนเขาจะกำลังรำคาญ
ความรู้สึกรำคาญนี้เป็นสิ่งที่มาจากความกังวลใจ ในตอนที่หานเซิ่นมองไปที่ทะเลสีดำ เขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน เขาไม่สามารถโทษองค์ชายดาบดาราที่รู้สึกแบบนั้นได้
องค์ชายและองค์หญิงคนอื่นๆก็รู้สึกเช่นเดียวกัน พวกเขาแค่ไม่ทำเหมือนอย่างองค์ชายดาบดาราและแสดงมันออกมาให้คนอื่นเห็น
“เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงคงจะไม่พาองค์ชายและองค์หญิงของพวกเขามาเจอกับอันตรายหรอกใช่ไหม?” หานเซิ่นมองไปที่เหล่าองค์ชายและองค์หญิง แต่สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ไป๋เวย
ไป๋เวยดูเป็นผู้หญิงกว่าก่อนหน้านี้ ถึงแม้เธอจะยังอายุน้อย แต่บรรยากาศรอบๆตัวเธอนั้นไม่เข้ากันกับอายุของเธอ
“ดูเหมือนว่าไป๋เวยจะเติบโตขึ้นมาก” หานเซิ่นถอนหายใจ เขาหันไปมองทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการจ้องไปที่เธอมากจนเกินไป ไม่อย่างนั้นเธออาจจะผิดสังเกต
สะพานนั้นมีความยาวสามสิบถึงสี่สิบไมล์ ตลอดการเดินทางพวกเขารู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก แต่มันไม่ได้มีเหตุการณ์อันตรายอะไรเกิดขึ้น ในระยะที่ไกลออกไป พวกเขาเห็นเกาะที่ดูเหมือนกับเกาะภูเขาไฟ บริเวณรอบๆเกาะนั้นต่ำมากๆ ขณะที่จุดสูงกลางของเกาะสูงเหมือนกับภูเขาไฟ มันมีปราสาทโลหะสีแดงตั้งอยู่บนยอดของภูเขา
หานเซิ่นมองไปที่ปราสาทและเห็นป้ายเหนือปราสาทมีตัวอักษรสากลของจักรวาลเขียนเอาไว้ มันอ่านได้ว่า “วิหารแดง”
หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ คำว่า “วิหาร” นั้นมักจะไม่ได้ถูกใช้กันในจักรวาลจีโน วิหารที่หานเซิ่นรู้จักคือที่ที่เทพสปิริตอยู่อาศัย
ปราสาทโลหะนี้มีชื่อว่าวิหารแดง หานเซิ่นคิดว่ามันค่อนข้างแปลก
‘นี่คือวิหารของพระเจ้าที่มีเทพสปิริตอยู่ภายในสินะ ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะไม่มีคำว่าวิหารอยู่’
เมื่อหานเซิ่นคิดเกี่ยวกับมัน มันก็ทำให้เขารู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเดิม เขาสงสัยว่าข้างในวิหารแดงมีอะไรอยู่กันแน่
ก่อนที่องค์ชายและองค์หญิงทุกคนจะลงจากสะพานไม้ จู่ๆไป๋ว่านเจี้ยก็พูดขึ้นว่า “รอเดี๋ยวก่อน”
ทุกคนหันไปมองที่ไป๋ว่านเจี้ย พวกเขาไม่เข้าใจว่าไป๋ว่านเจี้ยหมายความว่ายังไง
“นี่องค์รัชทายาทรู้อะไรอย่างนั้นหรอ?” องค์ชายชิงเสียถาม
ไป๋ว่านเจี้ยชี้ไปที่ด้านข้างของสะพานไม้ มันมีป้ายไม้ที่เขียนเอาไว้ว่า
“กองทัพนับพันข้ามสะพานไม้ทีละคน วิหารแดงเหลือแค่อันเดด”
ก่อนหน้านี้ความสนใจของทุกคนถูกดึงไปที่วิหารแดง พวกเขาไม่ได้สังเกตสะพานเลย ตอนนี้ไป๋ว่านเจี้ยดึงความสนใจของพวกเขาไปที่ป้ายของสะพาน
ไป๋หลิงซวงไม่เข้าใจความหมายของมัน ดังนั้นเขาจึงมองไปที่ไป๋ว่านเจี้ยและถาม
“องค์รัชทายาทรู้อย่างนั้นหรอว่ามันหมายความว่ายังไง?”
ไป๋ว่านเจี้ยส่ายหัว “ข้าไม่รู้”
องค์ชายชิงเสียพูด “กองทัพนับพันข้ามสะพานไม้ทีละคนนั้นเข้าใจไม่ยาก มันหมายความว่าผู้คนที่ข้ามสะพานนั้นจะข้ามได้แค่ทีละคนเท่านั้น ถ้ามันจะบอกว่ามีแค่หนึ่งในพวกเราที่จะข้ามสะพานนี้ไปได้ มันก็จะไม่สมเหตุสมผลไปหน่อย มันยังบอกอีกวิหารแดงเหลือเพียงแค่อันเดด อันเดดนั่นหมายถึงพวกเรา หรือผู้คนในวิหารแดง ไม่มีใครรู้ได้”
“ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่เรียบร้อยแล้ว มันก็ไม่ประโยชน์อะไรที่จะถอยกลับ” ไป๋ชางลังพูด
“พวกเราควรไปที่วิหารแดงนั่นก่อน” เขาเดินออกข้างหน้าและก้าวลงจากสะพานไป
เมื่อเห็นว่าไป๋ชางลังทำตัวกล้าหาญ หานเซิ่นก็ยิ้มออกมา เขาสามารถคาดเดาถึงความคิดของไป๋ชางลังได้
กองทัพนับพันข้ามสะพานทีละคนนั้นจะต้องหมายถึงอะไรบางอย่าง บางทีคนแรกที่ข้ามสะพานไปอาจจะได้รับบางอย่าง ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ไป๋ชางลังทำแบบนั้น มันไม่ใช่ว่าเขาเกิดมาเป็นคนกล้า แถมขณะที่เขาเดินไป เขาก็ระวังตัวอย่างที่สุด
เมื่อองค์ชายและองค์หญิงคนอื่นเห็นว่าไป๋ชางลังลงจากสะพานไปโดยไม่มีอันตรายใดๆ พวกเขาก็รีบตามไป
เมื่อเห็นว่าองค์ชายและองค์หญิงคนอื่นลงจากสะพานมาอย่างปลอดภัยกันทั้งหมด ไป๋ชางลังก็ดูผิดหวังเล็กน้อย
พวกเขาเดินขึ้นบันไดของวิหารแดงไป พวกเขาสังเกตเห็นว่าวิหารทั้งหลังนั้นถูกทำขึ้นมาจากโลหะ ถ้ามองจากระยะไกลมันจะดูเหมือนกับเปลวไฟ
ปัง!
ในตอนที่ทุกคนกำลังตรวจเช็ควิหารแดงอยู่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา ประตูของวิหารแดงกำลังเปิดออกด้วยตัวมันเอง