ปลาทองไม่สามารถอธิบายได้ว่าสมบัตินั้นคืออะไร เนื่องจากมันไม่มีชื่อ และเป่าเอ๋อก็ไม่สามารถแปลสิ่งที่ปลาทองพยายามบรรยายได้
และวิธีการไปเอาสมบัติที่ปลาทองตัวใหญ่บอกก็เป็นอะไรที่แปลก หานเซิ่นจึงสงสัยว่ามันพยายามจะหลอกพวกเขาหรือเปล่า
แต่หลังจากที่คำนึงถึงสติปัญญาของเจ้าปลาทอง โอกาสที่มันจะแต่งเรื่องที่ซับซ้อนเพื่อหลอกคนอื่นนั้นน้อยมากๆ ที่สุดแล้วหานเซิ่นก็ตัดสินใจไปตามที่เจ้าปลาทองตัวใหญ่บอก
หานเซิ่นยังไม่ได้ปล่อยปลาทองน้อยไป เขายังคงใช้ปลาทองน้อยเป็นตัวประกันและบังคับให้ปลาทองตัวใหญ่นำทางพวกเขาไป
ในทะเลขยะที่ไร้ที่สิ้นสุด หานเซิ่นและเป่าเอ๋อกำลังซ่อนตัวอยู่ในแคปซูลอวกาศที่เก่าแก่และทรุดโทรม
หานเซิ่นรู้สึกเสียใจที่เชื่อเจ้าปลาทองตัวใหญ่ มันบอกให้พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในกองขยะและตามกระแสของทะเลขยะไป
ไม่นานหลังจากที่หานเซิ่นและเป่าเอ๋ออยู่ในแคปซูลอวกาศ พวกเขาก็เห็นว่าอวกาศรอบๆแว็บด้วยสสารแสงสีม่วง พวกมันย่อยสลายขยะต่างๆที่มันสัมผัส
ขณะที่มองแสงสีม่วงทั้งหมดที่กำลังย่อยสลายโลหะ หินและพลาสติกอยู่นั้น หานเซิ่นก็รู้สึกกลัวว่าเขาและเป่าเอ๋อจะถูกย่อยสลายไปพร้อมๆกับแคปซูลอวกาศ
‘หวังว่าเจ้าปลาทองจะไม่ได้หลอกเรา ไม่อย่างนั้นเราจะกลับไปจับพวกมันทำเป็นอาหารกิน’
หานเซิ่นรู้ว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะเปลี่ยนใจ ถึงเขาจะรู้สึกโมโห แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเชื่อในสิ่งที่ปลาทองตัวใหญ่บอก
หานเซิ่นถือเกล็ดสีแดงที่ดูเหมือนกับเปลวไฟเอาไว้ ปลาทองบอกกับเขาว่าเกล็ดสีแดงจะทำให้เขารอดพ้นไปถึงที่อยู่ของสมบัติได้อย่างปลอดภัย
มันมีสสารแสงสีม่วงโผล่มาเพิ่มเรื่อยๆ พวกมันเหมือนกับหิ่งห้อยที่วูบวาบในอวกาศ พวกมันเข้าไปสัมผัสกับสสารอื่นและย่อยสลายเป็นชิ้นๆ
ในตอนที่เห็นสสารแสงสีม่วงจำนวนมากกำลังจะมายังแคปซูลอวกาศที่พวกเขาอยู่ หานเซิ่นก็รู้สึกลังเลว่าควรจะใช้การป้องกันแบบอื่นด้วยไหม
ปลาทองตัวใหญ่บอกกับเขาว่าไม่ควรใช้พลังและเปิดเผยตัว ไม่อย่างนั้นซีโน่เจเนอิคที่เฝ้าสมบัติอยู่ก็จะหาเขาเจอ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็จะไม่มีโอกาสได้รับสมบัติ
แต่ถ้าปลาทองตัวใหญ่โกหกหานเซิ่น ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสสารแสงสีม่วงพวกนั้นมาสัมผัสตัวพวกเขา
ขณะที่หานเซิ่นกำลังลังเล แสงสีแดงก็ส่องออกมาจากเกล็ดสีแดงในมือของเขา และก่อตัวเป็นชั้นสีแดงที่ห่อหุ้มแคปซูลอวกาศเอาไว้ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะการป้องกันของชั้นสีแดงนั้น แคปซูลอวกาศจึงไม่ได้ถูกย่อยสลายเหมือนกับขยะอวกาศอื่นๆ
เมื่อเห็นว่าเกล็ดที่ปลาทองตัวใหญ่มอบให้ใช้ได้ผล หานเซิ่นก็รู้สึกวางใจขึ้น ขณะหานเซิ่นและเป่าเอ๋อซ่อนตัวอยู่ภายในแคปซูลอวกาศ พวกเขาก็เห็นขยะอวกาศถูกย่อยสลายไปตามๆกัน
มันมีปราสาทหินที่ดูเหมือนกับภูเขาขนาดย่อมอยู่ด้วย เมื่อมันถูกกับสสารแสงสีม่วงเข้า มันก็พังทลายและกลายเป็นก้อนหินหลายก้อน ในตอนที่ก้อนหินพวกนั้นถูกกับสสารแสงสีม่วงเข้าอีกครั้ง พวกมันก็กลายเป็นก้อนหินที่เล็กลงกว่าเดิม กระบวนการเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกอย่างกำลังถูกย่อยสลาย สุดท้ายปราสาทหินที่ดูเหมือนกับภูเขาก็กลายเป็นฝุ่นสีเทาที่ปกคลุมระบบจักรวาลร้างทุกหนทุกแห่ง
กระบวนการนี้ใช้เวลาแค่สี่ถึงห้าวัน แต่ปราสาทขนาดใหญ่ก็ถูกย่อยสลายจนกลายเป็นผุยผง
ในช่วงเวลาที่พวกเขาล่องลอยไปตามกระแสของอวกาศ หานเซิ่นและเป่าเอ๋อก็ได้เห็นภาพแบบนี้จนพวกเขาเริ่มจะเฉยชากับมัน โชคดีที่เกล็ดสีแดงนั้นปลดปล่อยแสงออกมาเพื่อปกป้องแคปซูลอวกาศจากการถูกย่อยสลาย
ในตอนแรกมันมีสสารแสงสีม่วงอยู่ไม่มากนัก แต่ตอนนี้สสารแสงสีม่วงมีมากซะจนรอบๆตัวพวกเขากลายเป็นทะเลแสงสีม่วง นอกจากแสงสีม่วงแล้ว มันไม่มีอะไรอย่างอื่น
สสารแสงสีม่วงเข้าปกคลุมแคปซูลอวกาศทุกทิศทาง โชคดีที่ออร่าตงเสวียนของหานเซิ่นแม่นยำเรื่องตำแหน่งในอวกาศและจักรวาล ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงจะไม่รู้ถึงทิศทางที่กำลังมุ่งหน้าไป
เป่าเอ๋อมองออกไปนอกแคปซูลอวกาศและถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “นั่นคืออะไร?”
“พวกเรามาถึงแล้วอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นมองออกไปด้านนอกและเห็นว่าข้างนอกยังเต็มไปด้วยสสารแสงสีม่วงที่เหมือนกับมหาสมุทรที่กว้างใหญ่
ปลาทองตัวใหญ่บอกกับพวกเขาว่าในตอนที่แสงสีม่วงหายไปแล้ว พวกเขาก็จะถึงที่หมาย
ในตอนนี้ข้างนอกยังคงเป็นสีม่วง หานเซิ่นมองไม่เห็นอะไรที่อยู่ไกลเกินกว่าเก้าฟุต นี่จึงยังไม่ใช่สถานที่ที่ปลาทองตัวใหญ่พูดถึง แต่ทว่าภายในสสารแสงสีม่วง หานเซิ่นเห็นเงาเบลอๆของอะไรบางอย่าง
เงานั่นอยู่ไกลออกมา หานเซิ่นจึงเห็นมันไม่ชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกแปลกใจอยู่ดี
พ่อและลูกสาวล่องลอยอยู่ในแคปซูลอวกาศเกือบสิบห้าวัน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวพวกเขาถูกย่อยสลายโดยสสารแสงสีม่วง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาสสารแสงสีม่วงนั้นหนาเป็นพิเศษ มันไม่มีขยะอวกาศอะไรหลงเหลือให้พวกเขาเห็น นอกจากแคปซูลอวกาศที่พวกเขาอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างภายในสสารแสงสีม่วงนั้นถูกย่อยสลายกลายเป็นฝุ่นผงสีเทา
แต่ตอนนี้มันมีสิ่งที่อยู่ภายในสสารแสงสีม่วงโดยที่ไม่ถูกย่อยสลายเหมือนกับแคปซูลอวกาศ มันล่องลอยขึ้นลงในแสงสีม่วงเคียงคู่ไปกับแคปซูลอวกาศของพวกเขา
“สิ่งนั่นคืออะไรกัน?” หานเซิ่นและเป่าเอ๋อมองสิ่งที่อยู่ข้างนอกอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขาปรารถนาว่ามันจะลอยเข้ามาใกล้ๆแคปซูลอวกาศเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นว่ามันคืออะไร
ดูเหมือนว่าเหล่าทวยเทพจะได้ยินคำอธิษฐานของพวกเขา หลังจากที่ผ่านไปสักพัก สิ่งๆนั้นก็ล่องลอยเข้ามาใกล้ๆ
“ใกล้อีก ใกล้อีก เกือบจะเห็นมันแล้ว…” หานเซิ่นรู้สึกตื่นเต้น หลายวันที่ผ่านมา พวกเขาอยู่แต่ภายในแคปซูลอวกาศ และถึงจะมองออกไปนอกหน้าต่าง พวกเขาก็เห็นแค่แสงสีม่วง พวกเขาเกือบจะเบื่อตายอยู่แล้ว พวกเขาจึงปรารถนาจะเห็นบางสิ่งที่น่าสนใจ
เป่าเอ๋อเองก็รู้สึกตื่นเต้น เธอมองออกไปนอกหน้าต่างและถาม “พ่อ พ่อคิดว่านั่นใช่รถขายไอศกรีมไหม?”
“รถขายไอศกรีมในที่แบบนี้เนี่ยนะ… หนูเป็นเด็กช่างจินตนาการจริงๆ…”
หานเซิ่นอยากจะหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน เขารู้ว่าเป่าเอ๋อถูกขังอยู่ในนี้เป็นเวลาหลายวันและไม่มีของดีๆให้กินมากนัก เธอต้องการจะกินของดีๆ
ในที่สุดสิ่งนั้นก็ล่องลอยมาอยู่ตรงหน้าพวกเขา มันอยู่ห่างออกไปแค่หกฟุตเท่านั้นเอง หานเซิ่นสามารถสังเกตเห็นมันได้
“นั่นมัน… ร่างของคนตาย…” หานเซิ่นเห็นร่างกายอย่างชัดเจน มันดูเหมือนกับร่างของคนที่กำลังนั่งขัดสมาธิ เสื้อผ้าของเขายังคงอยู่ดี แต่ใบหน้าและมือของเขาเป็นโครงกระดูก มันไม่มีเนื้อหนังหลงเหลืออยู่
“เสื้อผ้าและโครงกระดูกของเขาไม่ถูกย่อยสลาย นั่นดูผิดปกติ”
หานเซิ่นเคยชินกับการเห็นคนตาย เขาจึงไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เขาประหลาดใจที่โครงกระดูกและเสื้อผ้านั้นไม่ได้ถูกย่อยสลายโดยสสารแสงสีม่วง