หานเซิ่นเห็นเป่าเอ๋อกำลังกินเนื้อและดื่มไวน์อย่างตะกละตะกลาม เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “เหลือไว้ให้พ่อบ้าง”
“หนูเหลือเนื้อชิ้นใหญ่เอาไว้ให้พ่อ” เป่าเอ๋อตักเนื้อชิ้นใหญ่ขึ้นให้กับหานเซิ่น
“เป่าเอ๋อ หนูเป็นเด็กดีจริงๆ” หานเซิ่นใช้มือรับเนื้อเอาไว้
“พ่อควรจะลองดื่มไวน์นี่ด้วย มันรสชาติดีมากเหมือนกัน” เป่าเอ๋อส่งขวดไวน์ให้กับหานเซิ่น
หานเซิ่นยกมันขึ้นมาดื่มและพบว่ามันมีรสชาติหวานมาก ไวน์นี้ไม่ใช่แค่ยอดเยี่ยม มันยิ่งกว่าเหมาะสมที่จะดื่มคู่กับเนื้อชั้นดีพวกนี้
ขณะที่ดื่มไวน์เข้าไป หานเซิ่นก็ได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นในหัว
“ยีนระดับเทพเจ้า+1”
‘โอ้มายก็อด! ไวน์นี่ก็เพิ่มยีนระดับเทพเจ้าให้กับเราเหมือนกัน?’
หานเซิ่นตกใจ หลังจากที่เขากินชิ้นเนื้อเข้าไปอีกชิ้น มันก็มีเสียงประกาศดังขึ้นมา ตอนนี้เมื่อเขาดื่มไวน์เข้าไป เขาก็ได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นมาอีก
“เราโชคดีจริงๆ…” หานเซิ่นดีใจอย่างมาก
พ่อและลูกสาวกินดื่มกันอย่างรื่นเริง ในเวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็กินเนื้อในหม้อและดื่มไวน์จนหมด เป่าเอ๋อยกหม้อขึ้นมาทั้งหม้อและดื่มน้ำซุปทั้งหมดเข้าไปในอึกเดียว หลังจากนั้นเธอก็ยื่นลิ้นออกมาเลียของเหลวที่เปื้อนอยู่ใบหน้าของเธอจนหมด ดูเหมือนกับว่าเธอยังอยากจะกินอีก
ถึงแม้หานเซิ่นจะยังกินไม่เต็มอิ่ม แต่เขาก็เก็บยีนระดับเทพเจ้าจนครบหนึ่งร้อยแล้ว เขาจึงไม่โลกมากอีก
หานเซิ่นเอนหลังพิงรั้วของศาลาอย่างพึงพอใจ เป่าเอ๋อเอามือลูบท้องของเธอขณะที่เอนตัวถัดไปจากเขา
“ไวน์และเนื้อนี่ดีมากๆ แต่ไม่รู้ว่าเราจะทำมันขึ้นมาด้วยตัวเองได้ยังไง ถ้าทำได้ เราก็คงจะได้กินมันทุกๆวัน” หานเซิ่นพูด
“ถ้าหนูได้กินเนื้อและดื่มไวน์ดีๆแบบนี้ทุกวัน หนูก็ยินดีจะอยู่ที่นี่ตลอดไป” เป่าเอ๋อดูแอบหวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน พ่อจดจำรสชาติของพวกมันได้” หานเซิ่นพูด
“ในตอนที่พวกเรากลับไปที่บ้าน พวกเราจะจ้างพ่อครัวมาลองทำมันขึ้นมา”
หานเซิ่นคิดว่าถ้าพ่อครัวคนเดียวไม่สามารถจำลองรสชาตินี้ได้ เขาก็จะจ้างพ่อครัวฝีมือดีทุกคนในสหพันธ์ เพื่อจะได้มีโอกาสลิ้มรสชาตินี้อีกครั้ง
“ดีเลย แบบนั้นหนูก็จะได้กินเนื้อและดื่มไวน์รสชาติดีแบบนี้ทุกๆวัน” เป่าเอ๋อดีใจกับเรื่องนั้น
พ่อและลูกสาวนั่งเอนหลังพิงกำแพงและคิดเกี่ยวกับการได้กินเนื้อและดื่มไวน์ดีๆแบบนี้ตลอดไปในอนาคตข้างหน้า มันถือเป็นการพักผ่อนไปในตัว พวกเขาไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง
มันถือเป็นเรื่องยากที่จะหาสถานที่ปลอดภัยแบบนี้ในเซเคร็ด พวกเขาจึงต้องการจะฟื้นฟูพลังงานของตัวเองให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะออกเดินทางกันอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป่าเอ๋อ แว่นกันแดนที่เธอใช้นั้นกินพลังงานจำนวนมาก มันจึงเป็นเรื่องดีที่เธอจะได้หยุดพัก
หลังจากที่เธอได้กินเนื้อเข้าไป สภาพของเธอก็ดูดีขึ้นมาก เธอไม่ได้ดูเหนื่อยล้าเหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว
หานเซิ่นหลับตาลงขณะที่เอนหลังพิงกับรั้วของศาลา เป่าเอ๋อนอนหลับข้างหานเซิ่นขณะที่ลูบหน้าท้องของเธอ เธอดูจะอิ่มหนําสําราญ
ตลอดเวลาที่หานเซิ่นและเป่าเอ๋อกินดื่มกันอย่างรื่นเริงนั้น ปลาทองตัวใหญ่และปลาทองน้อยต้องรออยู่ด้านนอกศาลา ถึงแม้ปลาทองน้อยอยากจะมากินด้วย แต่หม้อหินนั้นมีขนาดเล็กเกินไป มันแทบจะไม่พอทำให้หานเซิ่นและเป่าเอ๋ออิ่มท้อง ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงไม่ได้แบ่งให้กับพวกมัน
หลังจากผ่านไปสักพัก จู่ๆจมูกของหานเซิ่นได้กลิ่นหอมของเนื้อโชยมาอีก เขาคิด ‘เนื้อนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ ถึงพวกเราจะกินหมดไปนานแล้ว แต่มันก็ยังคงมีกลิ่นหอมหลงเหลืออยู่’
ไม่นานก่อนที่สีหน้าของหานเซิ่นจะเปลี่ยนไป เขาได้ยินเสียงเดือดของน้ำ ถึงแม้มันจะไม่ได้ดังมาก แต่เขาก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน
หานเซิ่นลืมตาขึ้นมาและมองไปที่หม้อหินที่อยู่บนโต๊ะหิน เขาเห็นว่าหม้อหินที่ถูกเป่าเอ๋อดื่มน้ำซุปไปจนหมดแล้วนั้นมีเนื้อและน้ำซุบมาเพิ่มอีก
“หม้อเนื้ออีกหม้อหนึ่ง!” เป่าเอ๋อทั้งตกใจและดีใจ
หานเซิ่นไม่ได้ดีใจเหมือนอย่างเป่าเอ๋อ สถานการณ์มันไม่ปกติ หม้อหินอยู่ข้างพวกเขาตลอดเวลา แบบนั้นมันจะมีเนื้อและน้ำซุบมาอยู่ในหม้อได้ยังไง?
หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัว เขารีบหยิบขวดไวน์บนโต๊ะขึ้นมาดู และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ขวดไวน์ที่ดื่มไปจนหมดแล้วนั้นมีไวน์มาเพิ่มอีก
“นี่มันอะไรกัน?” หานเซิ่นใช้ออร่าตงเสวียนสแกนสวนศักดิ์สิทธิ์อีกหลายครั้ง แต่เขาก็ยังคงไม่พบอะไร
สายตาของหานเซิ่นไปหยุดอยู่ที่รูปปั้นหยก มันยังคงนั่งอยู่ที่เดิมและมองออกไปด้านนอกสวนขณะที่ถือแก้วไวน์เอาไว้ มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“นี่มันแปลกจริงๆ ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้ได้โดยที่เราไม่รู้สึกตัว?”
หานเซิ่นขมวดคิ้ว ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น เป่าเอ๋อก็ได้ยกช้อนขึ้นมาและเตรียมจะตักเนื้อขึ้นมากินแล้ว
หานเซิ่นต้องการจะหยุดเป่าเอ๋อเอาไว้และบอกเธอว่าอย่าเพิ่งกิน แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากทางเข้าสวนศักดิ์สิทธิ์
“หานเซิ่น ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
หานเซิ่นหันหน้าไปมองและเห็นว่าคนที่เข้ามาในสวนศักดิ์สิทธิ์คือหนึ่งในเอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าที่ติดตามราชครูกู่เยวียน ชื่อของเขาคือหยางยวิ๋นเซิง
“ทำไมนายมาคนเดียว? ราชครูกู่เยวียนและคนอื่นๆอยู่ที่ไหนกัน?” หานเซิ่นมองไปที่หยางยวิ๋นเซิงด้วยความสับสน
หยางยวิ๋นเซิงดูขมขื่นขณะที่พูดขึ้นว่า “ข้าไม่อยากจะพูดเกี่ยวกับมัน ในตอนที่ราชครูกู่เยวียนพาพวกเราเข้าไปในความมืด พวกเราคิดว่าจะไปถึงตะเกียงที่อยู่ข้างหน้าได้ แต่ถึงพวกเราจะเดินไปหลายร้อยไมล์ พวกเราก็ยังคงอยู่ในความมืด หลังจากนั้นพวกเราก็ได้ยินเสียงของบางสิ่งเข้ามาใกล้ มันโจมตีใส่ใบเสมาของไชนิ่งอัมเบรลล่า ราชครูกู่เยวียนจึงให้พวกเราถือร่มเอาไว้ ขณะที่เขาวิ่งออกไปจากการป้องกันของร่มเพื่อต่อสู้กับศัตรู”
หานเซิ่นไม่พูดอะไร เขารู้ว่ามันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น ไม่อย่างนั้นหยางยวิ๋นเซิงก็คงจะไม่มาที่นี่ตามลำพัง
หยางยวิ๋นเซิงพูดต่อ “พวกเราทั้งสี่คนถือไชนิ่งอัมเบรลล่าเอาไว้ ขณะที่พวกเราพยายามจะไปให้ถึงแสงสว่างของตะเกียงต่อไป ก็มีบางสิ่งมาโจมตีใส่ใบเสมาของไชนิ่งอัมเบรลล่าอีกครั้ง และหลังจากที่ถูกโจมตีเข้าหลายครั้ง ในที่สุดไชนิ่งอัมเบรลล่าก็ถูกทำลาย ข้าไม่เห็นว่าสิ่งที่โจมตีพวกเราคืออะไรกันแน่ แต่พลังของมันส่งข้ากระเด็นออกไป มันทำให้ข้าตกลงไปในความมืดมิด ข้ารู้สึกราวกับว่าตัวเองตกลงไปในเหวลึก”
“พลังของความมืดนั้นเป็นเหมือนกับเครื่องบด ข้าพยายามใช้พลังทั้งหมดเพื่อต้านมันเอาไว้ แต่ข้าป้องกันมันไม่ได้ แม้แต่สมบัติป้องกันตัวของข้าก็ถูกทำลายไป ในตอนที่ข้าคิดว่าต้องตายแน่ๆ ข้าก็หล่นลงมาในบริเวณที่มีแสงสว่างของตะเกียง สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในความมืดไม่ได้แสดงตัวออกมาอีกครั้ง แต่ข้ารู้สึกว่ามีบางสิ่งกำลังมองมาที่ข้าจากในความมืด แต่ดูเหมือนมันจะไม่กล้าเข้ามาในแสงสว่างของตะเกียง”
ขณะที่หยางยวิ๋นเซิงพูด ตัวของเขาก็สั่นรัว เขามองไปรอบๆสวนศักดิ์สิทธิ์ราวกับว่าเขายังรู้สึกว่ามีบางสิ่งกำลังจ้องมองมาที่เขา