สเปชชาร์มนั้นหวาดกลัวแสงสว่างจากตะเกียง แต่ภายใต้แสงสว่างของกิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้น พวกมันดูไม่ได้หวาดกลัว จริงๆแล้วพวกมันดูดีใจ พวกมันอาบแสงสว่างและเต้นระบำกันอย่างมีความสุข
ในส่วนลึกของเซเคร็ดที่ห่างไกลออกไปจากศิลาจารึกแห่งโชคชะตา มันยังคงมีบริเวณที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด แต่มันไม่ได้มืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลย
“แร้งเฒ่า เกิดอะไรขึ้นข้างนอก? ทำไมความมืดรอบๆปราสาทศักดิ์สิทธิ์ถึงได้ลดน้อยลงไปกว่าเดิม?”
ในมุมมืดของปราสาท อสูรสีแดงที่มีดวงตาเหมือนกับขุมนรกมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพูด
บนหลังคา อสูรตัวใหญ่ที่ไม่มีดวงตาถามขึ้นมา “นี่ดวงตาของเจ้ากำลังเล่นตลกหรือยังไง? เซเคร็ดจะสว่างขึ้นมาได้ยังไง?”
นกประหลาดสีดำจ้องมองไปในความมืดและพูด “มันก็ดูสว่างขึ้นจริงๆนั่นแหละ”
หลังจากนั้นมันก็หันไปหาผู้หญิงที่งดงามและพูด “ยัยเฒ่าบ้ากาม เจ้าเห็นไหมว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น?”
“เจ้าเรียกข้าว่าผู้หญิงบ้ากาม ข้ายอมได้ แต่ถ้าเจ้าเรียกข้าว่ายายเฒ่าอีกครั้ง ข้าจะฉีกหัวของเจ้า” หลังจากที่ผู้หญิงที่งดงามพูดแบบนั้น เธอก็มองออกไปในความมืดที่ห่างไกล
“แปลกจริงๆ มันดูจะสว่างขึ้นจริงๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” อาเหมยประหลาดใจ
“ดวงตาของข้าไม่มีทางเล่นตลก ความมืดรอบๆโถงศักดิ์สิทธิ์นั้นเบาบางลงไปจริงๆ มันต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นในเซเคร็ด” อสูรสีแดงเริ่มเคลื่อนไหว ดูเหมือนว่ามันต้องการจะออกไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“มันจะมีเรื่องอะไรได้? พวกเทพสปิริตนั้นมาที่นี่ไม่ได้ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในเซเคร็ดได้ยังไง?”
อาเหมยทำสีหน้าดูถูก เธอถอยหายใจและพูดต่อ “นายน้อยจากไปนานแล้ว ทำไมเขายังไม่กลับมาอีก เจ้าคิดว่ามันจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า?”
“ยัยผู้หญิงบ้ากาม เจ้าอย่าได้กังวลไป” อสูรยักษ์ไร้ดวงตาพูด
“ด้วยพลังของนายน้อย ในก็อตแซงชัวรี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่จะต่อสู้กับเขาได้ แถมแมวเฒ่าก็ติดตามนายน้อยไปด้วย ถึงแมวเฒ่านั่นจะไม่เอาไหน แต่มันก็เป็นหนึ่งในสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ มันจะไม่ปล่อยให้มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับนายน้อย”
“ใครจะรู้ว่าแมวเฒ่านั่นจะพึ่งพาได้จริงๆหรือเปล่า?” อาเหมยพูด
“นั่นมันไม่ถูกสิ ทำไมบริเวณนั้นถึงมีแสงสว่างขึ้นมาได้? ข้าคิดว่าข้าเห็นแสงสว่าง” อสูรสีแดงมองไปในความมืด
อีแร้งแกจ้องออกไปในความมืดเช่นกัน ในความมืดนั้นมีแสงสว่างที่กำลังขยายตัวออก ถึงแม้มันจะส่องมาไม่ถึงปราสาทศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกเขาก็เห็นแสงสว่างนั้น
อาเหมยมองไปในทางที่มีแสงสว่างด้วยความแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้น? แสงสว่างนั่นส่องสว่างในความมืดของเซเคร็ด มันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกกันแน่?”
อีแร้งแก่นั้นมีสายตาดีที่สุดในหมู่พวกเขา ขณะที่มันมองออกไป มันก็ร้องตะโกนขึ้นมา
“กิเลนศักดิ์สิทธิ์… มันคือกิเลนศักดิ์สิทธิ์… นั่นคือแสงสว่างที่สปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ปลดปล่อยออกมา”
“นั่นเป็นไปได้ยังไง? สปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายในศิลาจารึกแห่งโชคชะตาไม่ใช่หรอ? นายน้อยยังไม่ได้ไปที่ศิลาจารึกแห่งโชคชะตา แบบนั้นสปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้นมาได้ยังไง?” อสูรสีแดงพูด
“เป็นไปไม่ได้… นอกจากนายน้อยแล้ว ไม่ควรมีคนอื่นที่ปลุกสปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ให้ตื่นขึ้นมาได้” สีหน้าของอาเหมยเปลี่ยนไป
“ทำไมพวกเรายังมัวเสียเวลาคุยกันอยู่ที่นี่อีก? รีบไปที่นั่นกันเถอะ สปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ควรจะเป็นของนายน้อย เราจะปล่อยให้คนอื่นแย่งมันไปไม่ได้” อสูรสีแดงพูดและกระโดดออกไปสู่ความมืด
ร่างกายของมันสัมผัสกับความมืดก่อให้เกิดเสียงที่เหมือนกับเสียงแตกหักของฟันเฟือง เปลวเพลิงสีแดงบนร่างกายของมันปะทะกับความมืด ทุกก้าวของมันเหมือนกับโลกกำลังพังทลาย
“พลังความมืดเวร…” อสูรสีแดงสบถขณะที่พยายามเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ไม่ว่ามันจะสบถมากสักแค่ไหน มันก็เคลื่อนที่ไปได้แค่ทีละก้าว
อีแร้งแกกระพือปีกและบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด ดูเหมือนกับว่าท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดำ หลังจากที่มันเข้าไปในความมืด มันก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา สายฟ้าจำนวนมากเกิดขึ้นรอบๆตัวของมัน ขณะที่มันพยายามต่อสู้กับความมืด
อาเหมยและอสูรยักษ์ไร้ดวงตาก็เข้าไปในความมืดเช่นกัน พวกเขาเดินทางผ่านความมืดไปอย่างช้าๆ ถึงพวกเขาจะรีบร้อน แต่พวกเขาก็ผ่านความมืดไปถึงแสงสว่างของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ในทันทีไม่ได้
ราชครูกู่เยวียนและผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภามองไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์ด้วยความตกใจ
หานเซิ่นเองก็จ้องไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ยิ่งเขามองดูมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น
ในตอนนี้กิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่ซีโน่เจเนอิค ออร่าของมันเหมือนกับ…
“วิญญาณอสูร!” หานเซิ่นเกือบจะร้องตะโกนออกมา กิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้นดูเหมือนกับวิญญาณอสูรไม่ใช่ซีโน่เจเนอิค
ขณะที่แสงจากร่างกายของกิเลนศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวขึ้น แสงของศิลาจารึกแห่งโชคชะตาก็อ่อนลงไป ดูเหมือนกับว่าพลังของศิลาจารึกแห่งโชคชะตาจะย้ายไปอยู่ในกิเลนศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้ร่างกายของกิเลนศักดิ์สิทธิ์จะยังไม่เป็นรูปธรรม แต่ร่างกายของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นตัวเป็นตนมากขึ้นเรื่อยๆ
“เกิดอะไรขึ้น? กิเลนศักดิ์สิทธิ์ตายไปแล้วไม่ใช่หรอ? เขาของมันถูกนำไปใช้ทำรูปปั้นและเนื้อของมันก็ถูกนำไปต้มเป็นอาหาร วิญญาณของมันจะยังอยู่ได้ยังไงกัน? ถ้าวิญญาณอสูรคือสปิริต เมื่อร่างกายของมันหายไปแล้ว สปิริตของมันจะยังอยู่ได้ด้วยหรอ?” จิตใจของหานเซิ่นเต็มไปด้วยคำถาม
ศิลาจารึกแห่งโชคชะตาสูญเสียแสงสว่างทั้งหมดไปและแตกกระจายกลายเป็นผุยผงที่ปลิวไปกับสายลม ตอนนี้กิเลนศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ แต่ร่างกายของมันยังคงดูเหมือนกับวิญญาณอสูร มันไม่ได้กลายเป็นรูปธรรมอย่างเต็มที่
แสงบนตัวกิเลนศักดิ์สิทธิ์เริ่มมัวลงไป บริเวณโดยรอบที่สว่างไสวเริ่มถูกความมืดเข้าปกคลุมอีกครั้ง ตะเกียงทั้งสองยังคงส่องสว่างด้วยแสงไฟของพวกมัน
“กิเลนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นหนึ่งในสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ตาย!” เอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าพูดขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
“ไม่ใช่ การปรากฏตัวของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ในสถานการณ์นี้ไม่ได้หมายความว่ามันยังมีชีวิตอยู่” ราชครูกู่เยวียนจ้องไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์และขมวดคิ้ว
ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาจ้องไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เขาเอามือออกมาจากแขนเสื้อ ดูเหมือนเขาตั้งท่าเตรียมจะโจมตีแล้ว แต่เขายังไม่ได้ทำ ดูเหมือนเขากำลังหวาดกลัว
กิเลนศักดิ์สิทธิ์มองไปที่หานเซิ่น ขาทั้งสี่ของมันเริ่มเคลื่อนที่เข้าไปหาหานเซิ่น
หานเซิ่นคิด ‘มันต้องการจะทำอะไร? มันโผล่ออกมาก็เพราะเราทำลายพลังของศิลาจารึกแห่งโชคชะตาและตอนนี้มันก็ต้องการจะสู้กับเราอย่างนั้นใช่ไหม? หรือบางทีมันอาจจะอยากเขาของมันกลับคืนไป?’
ขณะที่หานเซิ่นกำลังคาดเดา กิเลนศักดิ์สิทธิ์ก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่ดูเหมือนกับว่ามันไม่ได้ต้องการทำอะไร กิเลนศักดิ์สิทธิ์มาหยุดอยู่ตรงหน้าหานเซิ่น มันใกล้ซะจนทำให้หานเซิ่นอยากจะถอยออกไปด้านหลัง แต่ทันใดนั้นกิเลนศักดิ์ก็ส่งเสียงร้องออกมา มันลดหัวตรงหน้าของหานเซิ่น
“นั่นหมายความว่าอะไร?” หานเซิ่นมองไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่รู้ว่ากิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้นต้องการอะไรกันแน่
เมื่อกิเลนศักดิ์สิทธิ์เห็นว่าหานเซิ่นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มันก็ส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นมันก็เอาหัวเข้ามาใกล้หานเซิ่นยิ่งกว่าเดิม
ในที่สุดหานเซิ่นก็เข้าใจบางสิ่ง เขายื่นมือออกไปสัมผัสหัวของกิเลนศักดิ์สิทธิ์