Super God Gene – ตอนที่ 2948 กิเลนศักดิ์สิทธิ์

สเปชชาร์มนั้นหวาดกลัวแสงสว่างจากตะเกียง แต่ภายใต้แสงสว่างของกิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้น พวกมันดูไม่ได้หวาดกลัว จริงๆแล้วพวกมันดูดีใจ พวกมันอาบแสงสว่างและเต้นระบำกันอย่างมีความสุข

 

ในส่วนลึกของเซเคร็ดที่ห่างไกลออกไปจากศิลาจารึกแห่งโชคชะตา มันยังคงมีบริเวณที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด แต่มันไม่ได้มืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลย

 

“แร้งเฒ่า เกิดอะไรขึ้นข้างนอก? ทำไมความมืดรอบๆปราสาทศักดิ์สิทธิ์ถึงได้ลดน้อยลงไปกว่าเดิม?”

ในมุมมืดของปราสาท อสูรสีแดงที่มีดวงตาเหมือนกับขุมนรกมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพูด

 

บนหลังคา อสูรตัวใหญ่ที่ไม่มีดวงตาถามขึ้นมา “นี่ดวงตาของเจ้ากำลังเล่นตลกหรือยังไง? เซเคร็ดจะสว่างขึ้นมาได้ยังไง?”

 

นกประหลาดสีดำจ้องมองไปในความมืดและพูด “มันก็ดูสว่างขึ้นจริงๆนั่นแหละ”

หลังจากนั้นมันก็หันไปหาผู้หญิงที่งดงามและพูด “ยัยเฒ่าบ้ากาม เจ้าเห็นไหมว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น?”

 

“เจ้าเรียกข้าว่าผู้หญิงบ้ากาม ข้ายอมได้ แต่ถ้าเจ้าเรียกข้าว่ายายเฒ่าอีกครั้ง ข้าจะฉีกหัวของเจ้า” หลังจากที่ผู้หญิงที่งดงามพูดแบบนั้น เธอก็มองออกไปในความมืดที่ห่างไกล

 

“แปลกจริงๆ มันดูจะสว่างขึ้นจริงๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” อาเหมยประหลาดใจ

 

“ดวงตาของข้าไม่มีทางเล่นตลก ความมืดรอบๆโถงศักดิ์สิทธิ์นั้นเบาบางลงไปจริงๆ มันต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นในเซเคร็ด” อสูรสีแดงเริ่มเคลื่อนไหว ดูเหมือนว่ามันต้องการจะออกไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

“มันจะมีเรื่องอะไรได้? พวกเทพสปิริตนั้นมาที่นี่ไม่ได้ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในเซเคร็ดได้ยังไง?”

อาเหมยทำสีหน้าดูถูก เธอถอยหายใจและพูดต่อ “นายน้อยจากไปนานแล้ว ทำไมเขายังไม่กลับมาอีก เจ้าคิดว่ามันจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า?”

 

“ยัยผู้หญิงบ้ากาม เจ้าอย่าได้กังวลไป” อสูรยักษ์ไร้ดวงตาพูด

“ด้วยพลังของนายน้อย ในก็อตแซงชัวรี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่จะต่อสู้กับเขาได้ แถมแมวเฒ่าก็ติดตามนายน้อยไปด้วย ถึงแมวเฒ่านั่นจะไม่เอาไหน แต่มันก็เป็นหนึ่งในสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ มันจะไม่ปล่อยให้มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับนายน้อย”

 

“ใครจะรู้ว่าแมวเฒ่านั่นจะพึ่งพาได้จริงๆหรือเปล่า?” อาเหมยพูด

 

“นั่นมันไม่ถูกสิ ทำไมบริเวณนั้นถึงมีแสงสว่างขึ้นมาได้? ข้าคิดว่าข้าเห็นแสงสว่าง” อสูรสีแดงมองไปในความมืด

 

อีแร้งแกจ้องออกไปในความมืดเช่นกัน ในความมืดนั้นมีแสงสว่างที่กำลังขยายตัวออก ถึงแม้มันจะส่องมาไม่ถึงปราสาทศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกเขาก็เห็นแสงสว่างนั้น

 

อาเหมยมองไปในทางที่มีแสงสว่างด้วยความแปลกใจ

“เกิดอะไรขึ้น? แสงสว่างนั่นส่องสว่างในความมืดของเซเคร็ด มันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกกันแน่?”

 

อีแร้งแก่นั้นมีสายตาดีที่สุดในหมู่พวกเขา ขณะที่มันมองออกไป มันก็ร้องตะโกนขึ้นมา

“กิเลนศักดิ์สิทธิ์… มันคือกิเลนศักดิ์สิทธิ์… นั่นคือแสงสว่างที่สปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ปลดปล่อยออกมา”

 

“นั่นเป็นไปได้ยังไง? สปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายในศิลาจารึกแห่งโชคชะตาไม่ใช่หรอ? นายน้อยยังไม่ได้ไปที่ศิลาจารึกแห่งโชคชะตา แบบนั้นสปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้นมาได้ยังไง?” อสูรสีแดงพูด

 

“เป็นไปไม่ได้… นอกจากนายน้อยแล้ว ไม่ควรมีคนอื่นที่ปลุกสปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ให้ตื่นขึ้นมาได้” สีหน้าของอาเหมยเปลี่ยนไป

 

“ทำไมพวกเรายังมัวเสียเวลาคุยกันอยู่ที่นี่อีก? รีบไปที่นั่นกันเถอะ สปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ควรจะเป็นของนายน้อย เราจะปล่อยให้คนอื่นแย่งมันไปไม่ได้” อสูรสีแดงพูดและกระโดดออกไปสู่ความมืด

 

ร่างกายของมันสัมผัสกับความมืดก่อให้เกิดเสียงที่เหมือนกับเสียงแตกหักของฟันเฟือง เปลวเพลิงสีแดงบนร่างกายของมันปะทะกับความมืด ทุกก้าวของมันเหมือนกับโลกกำลังพังทลาย

 

“พลังความมืดเวร…” อสูรสีแดงสบถขณะที่พยายามเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ไม่ว่ามันจะสบถมากสักแค่ไหน มันก็เคลื่อนที่ไปได้แค่ทีละก้าว

 

อีแร้งแกกระพือปีกและบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด ดูเหมือนกับว่าท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดำ หลังจากที่มันเข้าไปในความมืด มันก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา สายฟ้าจำนวนมากเกิดขึ้นรอบๆตัวของมัน ขณะที่มันพยายามต่อสู้กับความมืด

 

อาเหมยและอสูรยักษ์ไร้ดวงตาก็เข้าไปในความมืดเช่นกัน พวกเขาเดินทางผ่านความมืดไปอย่างช้าๆ ถึงพวกเขาจะรีบร้อน แต่พวกเขาก็ผ่านความมืดไปถึงแสงสว่างของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ในทันทีไม่ได้

 

ราชครูกู่เยวียนและผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภามองไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์ด้วยความตกใจ

 

หานเซิ่นเองก็จ้องไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ยิ่งเขามองดูมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น

 

ในตอนนี้กิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่ซีโน่เจเนอิค ออร่าของมันเหมือนกับ…

 

“วิญญาณอสูร!” หานเซิ่นเกือบจะร้องตะโกนออกมา กิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้นดูเหมือนกับวิญญาณอสูรไม่ใช่ซีโน่เจเนอิค

 

ขณะที่แสงจากร่างกายของกิเลนศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวขึ้น แสงของศิลาจารึกแห่งโชคชะตาก็อ่อนลงไป ดูเหมือนกับว่าพลังของศิลาจารึกแห่งโชคชะตาจะย้ายไปอยู่ในกิเลนศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้ร่างกายของกิเลนศักดิ์สิทธิ์จะยังไม่เป็นรูปธรรม แต่ร่างกายของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นตัวเป็นตนมากขึ้นเรื่อยๆ

 

“เกิดอะไรขึ้น? กิเลนศักดิ์สิทธิ์ตายไปแล้วไม่ใช่หรอ? เขาของมันถูกนำไปใช้ทำรูปปั้นและเนื้อของมันก็ถูกนำไปต้มเป็นอาหาร วิญญาณของมันจะยังอยู่ได้ยังไงกัน? ถ้าวิญญาณอสูรคือสปิริต เมื่อร่างกายของมันหายไปแล้ว สปิริตของมันจะยังอยู่ได้ด้วยหรอ?” จิตใจของหานเซิ่นเต็มไปด้วยคำถาม

 

ศิลาจารึกแห่งโชคชะตาสูญเสียแสงสว่างทั้งหมดไปและแตกกระจายกลายเป็นผุยผงที่ปลิวไปกับสายลม ตอนนี้กิเลนศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ แต่ร่างกายของมันยังคงดูเหมือนกับวิญญาณอสูร มันไม่ได้กลายเป็นรูปธรรมอย่างเต็มที่

 

แสงบนตัวกิเลนศักดิ์สิทธิ์เริ่มมัวลงไป บริเวณโดยรอบที่สว่างไสวเริ่มถูกความมืดเข้าปกคลุมอีกครั้ง ตะเกียงทั้งสองยังคงส่องสว่างด้วยแสงไฟของพวกมัน

 

“กิเลนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นหนึ่งในสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ตาย!” เอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าพูดขึ้นมาด้วยความตกตะลึง

 

“ไม่ใช่ การปรากฏตัวของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ในสถานการณ์นี้ไม่ได้หมายความว่ามันยังมีชีวิตอยู่” ราชครูกู่เยวียนจ้องไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์และขมวดคิ้ว

 

ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาจ้องไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เขาเอามือออกมาจากแขนเสื้อ ดูเหมือนเขาตั้งท่าเตรียมจะโจมตีแล้ว แต่เขายังไม่ได้ทำ ดูเหมือนเขากำลังหวาดกลัว

 

กิเลนศักดิ์สิทธิ์มองไปที่หานเซิ่น ขาทั้งสี่ของมันเริ่มเคลื่อนที่เข้าไปหาหานเซิ่น

 

หานเซิ่นคิด ‘มันต้องการจะทำอะไร? มันโผล่ออกมาก็เพราะเราทำลายพลังของศิลาจารึกแห่งโชคชะตาและตอนนี้มันก็ต้องการจะสู้กับเราอย่างนั้นใช่ไหม? หรือบางทีมันอาจจะอยากเขาของมันกลับคืนไป?’

 

ขณะที่หานเซิ่นกำลังคาดเดา กิเลนศักดิ์สิทธิ์ก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่ดูเหมือนกับว่ามันไม่ได้ต้องการทำอะไร กิเลนศักดิ์สิทธิ์มาหยุดอยู่ตรงหน้าหานเซิ่น มันใกล้ซะจนทำให้หานเซิ่นอยากจะถอยออกไปด้านหลัง แต่ทันใดนั้นกิเลนศักดิ์ก็ส่งเสียงร้องออกมา มันลดหัวตรงหน้าของหานเซิ่น

 

“นั่นหมายความว่าอะไร?” หานเซิ่นมองไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่รู้ว่ากิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้นต้องการอะไรกันแน่

 

เมื่อกิเลนศักดิ์สิทธิ์เห็นว่าหานเซิ่นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มันก็ส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นมันก็เอาหัวเข้ามาใกล้หานเซิ่นยิ่งกว่าเดิม

 

ในที่สุดหานเซิ่นก็เข้าใจบางสิ่ง เขายื่นมือออกไปสัมผัสหัวของกิเลนศักดิ์สิทธิ์

 

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset