ก่อนที่หานเซิ่นจะได้ตามไนน์เทาซันด์คิงไปที่ระบบจักรวาลร้าง ก็มีใครบางคนมาหาเขา ซึ่งคนที่มาก็คือเทพแห่งผลกรรม หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ เขาไม่รู้ว่าเทพแห่งผลกรรมมาหาเขาด้วยเรื่องอะไร
ในตอนที่เทพแห่งผลกรรมเห็นหานเซิ่น เขาก็มองหานเซิ่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ หานเซิ่นอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “เจ้ากำลังมองอะไร?”
“เจ้าถูกพระเจ้าชั่วพริบตาที่เป็นถึงเทพสปิริตขั้นแอนนิฮิเลชั่นเล่นงานขนาดนั้น แต่เจ้ากลับไม่เป็นอะไร ดูเหมือนว่าก็อดฟาเธอร์หานจะเก่งสมคำล่ำลือจริงๆ” เทพแห่งผลกรรมพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นอะไรซะที่ไหนล่ะ? ข้าเพิ่งจะหายดีเมื่อไม่นานมานี้เอง”
หานเซิ่นหยุดไปชั่วครู่และมองไปที่เทพแห่งผลกรรมก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้าเป็นคนที่ยุ่งมากๆ แบบนั้นมาหาข้าด้วยเรื่องอะไรกัน?”
“ข้าอยากจะแวะมาเพื่อร่วมกินร่วมดื่มกับเจ้า แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลา หลังจากที่ข้าออกมาจากก็อตแซงชัวรี่ ทั้งหมดที่ข้าทำก็คือฝึก ฝึกและก็ฝึก ข้าไม่มีแม้แต่เวลาจะหยุดพัก ถึงอย่างนั้นข้าก็แค่ทัดเทียมกับขั้นพริมิทีฟเท่านั้น ขณะที่เจ้าเป็นขั้นทรูก็อตเรียบร้อยแล้ว เจ้าทำให้คนอย่างข้ารู้สึกอิจฉา”
เทพแห่งผลกรรมถอนหายใจและพูดต่อ “ครั้งนี้ข้ามาที่นี่ด้วยคำสั่งของพยุหะโลหิต พวกเราต้องการให้เจ้ามาที่พยุหะ ประมุขของพวกเราบอกว่าเขาต้องการจะพบกับเจ้า”
“ประมุขของพยุหะที่เจ้าพูดถึงคือคนไหนกัน?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาจำได้ว่าเขาเคยเจอกับคุณลี่ที่อ้างตัวว่าประมุขของพยุหะโลหิตที่ขังตัวเองอยู่ในโรงศพที่ก็อตแซงชัวรี่
“มันไม่ใช่คนที่เจ้ากำลังคิด คนที่ต้องการเจอกับเจ้าคือผู้ก่อตั้งพยุหะโลหิต เจ้าเรียกเขาว่าจักรพรรดิมนุษย์” คำตอบของเทพแห่งผลกรรมทำให้หานเซิ่นสะดุ้ง
หานเซิ่นอยากจะถามรายละเอียด แต่เทพแห่งผลกรรมบอกว่าเขาไม่ได้รู้อะไรมาก เขาบอกว่าถ้าหานเซิ่นมีคำถามอะไรก็ให้ไปถามกับประมุขของพยุหะโลหิตโดยตรงเลย
หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับมันและตัดสินใจจะไปที่พยุหะโลหิต เขามีคำถามมากมายเกี่ยวกับพยุหะโลหิตที่อยากจะได้คำตอบ
หานเซิ่นไม่รู้ว่าหานจิงจื่อทำอะไรในตอนที่เขาถูกพยุหะโลหิตพาตัวไป และเขาไม่รู้ว่าทำไมพระเจ้าถึงบอกว่าโหลวเลี่ยของพยุหะโลหิตเป็นมนุษย์ตัวจริง เขายังมีคำถามอีกหลายคำถามเกี่ยวกับวิชาโลหิตชีพจร
เป็นไปได้สูงที่ประมุขของพยุหะโลหิตที่เรียกตัวเองว่าจักรพรรดิมนุษย์จะมอบคำตอบให้กับเขาได้
ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงให้ไนน์เทาซันด์คิงกลับไปที่ระบบจักรวาลร้างตามลำพัง ขณะที่เขาไปที่พยุหะโลหิตพร้อมกับเทพแห่งผลกรรมแทน
หานเซิ่นไม่เชื่อใจพยุหะโลหิต ยังไงซะผู้คนของพยุหะโลหิตก็มีเลือดสีฟ้า พวกเขาแตกต่างไปจากมนุษย์ พยุหะโลหิตนั้นอยู่ในจักรวาลนี้มาเป็นเวลานาน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่เคยทำอะไรเพื่อมนุษยชาติ
แค่สองข้อนี้ก็มากพอที่จะทำให้หานเซิ่นไม่วางใจพยุหะโลหิต และความจริงที่ประมุขพยุหะโลหิตเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิมนุษย์ทำให้เขารู้สึกกังวล ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เพื่อจะได้คำตอบของคำถามเหล่านั้น หานเซิ่นก็จำเป็นจะต้องไป
เทพแห่งผลกรรมพาหานเซิ่นขึ้นยานประหลาดลำหนึ่ง ภายในยานอวกาส ออร่าตงเสวียนของหานเซิ่นไม่สามารถใช้งานได้ นั่นทำให้หานเซิ่นขมวดคิ้ว
เทพแห่งผลกรรมดูเหมือนจะรู้หานเซิ่นไม่ไว้วางใจพวกเขา เขาจึงพูดขึ้นว่า
“พยุหะโลหิตของพวกเราถูกไล่ล่าโดยเทพสปิริตมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปี ด้วยเหตุนั้นพวกเราจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ยานลำนี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับเจ้า พวกเราแค่ไม่ต้องการให้เทพสปิริตแกะรอยพวกเราได้”
“ทำไมเทพสปริตรถึงต้องการจะฆ่าคนของพยุหะโลหิต?” หานเซิ่นถาม
“นั่นเป็นเพราะพวกเราทุกคนเป็นมนุษย์” เทพแห่งผลกรรมพูด มันเป็นคำตอบที่ซื่อตรง แต่มันทำให้หานเซิ่นหวาดระแวงยิ่งกว่าเดิม
“ข้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน และในสเปชการ์เด้นก็มีมนุษย์อยู่หลายคน แต่ทำไมถึงไม่มีเทพสปิริตมาหาเรื่องอะไรพวกเรา?” หานเซิ่นถามอย่างจริงจัง
เทพแห่งผลกรรมเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ข้าไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น มีคนเคยถามคำถามเดียวกันนี้กับข้า แต่ข้าไม่เคยแน่ใจว่าจะตอบพวกเขายังไง ข้าได้แต่คาดเดาว่ามันเกี่ยวข้องกับเลือดสีฟ้า”
“เลือดสีฟ้า” หานเซิ่นพึมพำกับตัวเอง
กุญแจของคำถามทั้งหมดดูเหมือนจะนำไปสู่จุดเริ่มต้น สมาชิกของพยุหะโลหิตนั้นมีเลือดสีฟ้า และแหล่งที่มาของเลือดสีฟ้าก็มาจากยีนของมนุษย์เอง
พลังของยีนเลือดสีฟ้าเป็นสิ่งที่จะทำงานหลังจากที่หลายต่อหลายรุ่นฝึกฝนวิชาโลหิตชีพจร หานเซิ่นเป็นรุ่นแรกที่เริ่มฝึกวิชาโลหิตชีพจร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีเลือดสีฟ้า
แม้แต่เสี่ยวฮวาและหลิงเอ๋อที่เป็นรุ่นที่สองก็ไม่มีเลือดสีฟ้าเช่นกัน
มันจึงเห็นได้ชัดว่าเลือดสีฟ้าไม่ได้แสดงออกมาในรุ่นที่สอง มันต้องใช้เวลาหลายต่อหลายรุ่นถึงจะทำให้เลือดของพวกเขาเริ่มกลายเป็นสีฟ้า
หานเซิ่นฝึกฝนวิชาโลหิตชีพจร แต่เขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงพลังของเลือดสีฟ้าที่วิชาโลหิตชีพจรจะมอบให้กับเขา มันแค่ทำให้ยีนของเขาดีขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
ก่อนหน้านี้หานเซิ่นได้ตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้หลายอย่าง จากข้อสันนิษฐานของหานเซิ่น ร่างกายมนุษย์ควรจะมียีนเลือดสีฟ้าซ่อนอยู่ แต่โอกาสที่มันจะทำงานขึ้นมานั้นต่ำมากๆ ด้วยเหตุนั้นมันจึงไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายของมนุษย์ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องฝึกวิชาโลหิตชีพจรหลายต่อหลายรุ่นกว่าที่ยีนเลือดสีฟ้าจะทำงานขึ้นมา ด้วยการทำแบบนั้นยีนเลือดสีฟ้าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของยีนมนุษย์
ถ้าข้อสันนิษฐานนี้ของหานเซิ่นถูกต้อง แหล่งที่มาของยีนเลือดสีฟ้าก็ไม่ควรจะเป็นคริสตัลไลเซอร์ เพราะคริสตัลไลเซอร์นั้นไม่ได้มีเลือดสีฟ้า พวกเขามีเลือดสีแดงเหมือนกับมนุษย์
มันยังมีหลักฐานอย่างอื่นที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่าคริสตัลไลเซอร์นั้นไม่มียีนเลือดสีฟ้า นั่นคือเรื่องที่เทพแห่งผลกรรมและพวกพ้องของเขาไม่เหมือนกับมนุษย์ธรรมดา พวกเขาไม่สามารถดูดซับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่นได้
สมาชิกของพยุหะโลหิตที่มีเลือดสีฟ้าจำเป็นต้องวิวัฒนาการด้วยตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่สามารถรวมยีนของตัวเองกับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่นได้ มันเป็นแบบนั้นในก็อตแซงชัวรี่ ดังนั้นมันจะต้องเป็นเหมือนกันในจักรวาลจีโนนี้
เทพแห่งผลกรรมบอกว่าตอนนี้เขาทัดเทียมกับระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟ แต่เขาไม่ได้บอกว่าเขาเป็นขั้นพริมิทีฟ
ไม่สำคัญว่าคนที่มีเลือดสีฟ้าจะอยู่ในก็อตแซงชัวรี่หรือในจักรวาลจีโน พวกเขาก็ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษ พวกเขาเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกเหนือกฎของจักรวาล แต่พวกเขามีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ธรรมดาๆ นั่นเป็นสิ่งที่หานเซิ่นยังคงสับสน
ซึ่งคริสตัลไลเซอร์ไม่ใช่แบบนั้น คริสตัลไลเซอร์เป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาของจักรวาล พวกเขาเหมือนกับมนุษย์ในก็อตแซงชัวรี่ พวกเขาต้องทำตามกฎของจักรวาลจีโนเพื่อจะวิวัฒนาการ นั่นแตกต่างไปจากคนที่มีเลือดสีฟ้า ดังนั้นมันไม่มีทางที่ยีนเลือดสีฟ้าจะมาจากคริสตัลไลเซอร์ไปได้
หานเซิ่นคิด ‘สเตย์อัพเลทบอกว่ามนุษย์เป็นผลลัพธ์จากการที่คริสตัลไลเซอร์ใช้ยีนของตัวเองรวมเข้ากับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่น ยีนสีฟ้าควรจะมาจากสิ่งมีชีวิตนั้น แต่สิ่งมีชีวิตนั้นคืออะไรกัน?’
สิ่งหนึ่งที่หานเซิ่นรู้ก็คือกระบวนการทำงานของวิชาโลหิตชีพจรนั้นคือการทำให้ยีนเลือดสีฟ้ากลายเป็นยีนหลักของร่างกายมนุษย์
หานเซิ่นไม่รู้ว่านั่นถือเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่ และเขาก็ไม่รู้ว่ายีนเลือดสีฟ้านั้นมาจากสิ่งมีชีวิตแบบไหน
เหตุผลที่หานเซิ่นรู้ว่าวิชาโลหิตชีพจรเป็นวิชาที่แข็งแกร่งมากๆ นั่นเพราะมันสามารถทำให้คนรุ่นต่อจากเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่ได้อนุญาตให้คนในครอบครัวของเขาฝึกวิชาโลหิตชีพจร แม้แต่เสี่ยวฮวาและหลิงเอ๋อก็ไม่ได้ฝึกมัน
ยานเคลื่อนที่ออกจากสเปชการ์เด้นและมาปรากฏอยู่ในบริเวณที่มีดวงดาวหลายดวง หนึ่งในนั้นเป็นดาวแคระสีแดง