Super God Gene – ตอนที่ 2975 ไม่มีวันรู้

ในที่สุดหานเซิ่นก็ได้เห็นจักรพรรดิมนุษย์ จักรพรรดิมนุษย์ที่อยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้นั้นเกือบจะดูเหมือนกับรูปปั้น เขาเป็นชายวัยกลางคนที่สง่างาม ใบหน้าของเขาดูหนุ่มเหมือนกับคนอายุยี่สิบปี แต่ออร่าของเขาบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาแก่กว่านั้นมาก

 

หลังจากที่เข้ามาในดาวแคระสีแดง หานเซิ่นก็เห็นสมาชิกของพยุหะโลหิตหลายคน พวกเขาเป็นเหมือนกับเทพแห่งผลกรรมที่ระดับพลังไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆในจักรวาล แต่หานเซิ่นก็ไม่ได้คิดว่าพวกเขาอ่อนแอ

 

ในความจริงแล้วหานเซิ่นรู้สึกแปลกใจเมื่อได้เห็นสมาชิกของพยุหะโลหิต นอกจากเผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่ทรงอำนาจอย่างเอ็กซ์ตรีมคิง เวรี่ไฮและปราสาทนภาแล้ว หานเซิ่นก็ไม่คิดว่าจะมีเผ่าพันธุ์ไหนที่แข็งแกร่งเหมือนอย่างพยุหะโลหิต

 

ถึงหานเซิ่นจะไม่รู้ถึงระดับพลังของพวกเขาแต่ละคน แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงออร่าที่อันตรายจากสมาชิกของพยุหะโลหิตทุกคน

 

“ในที่สุดเจ้าก็มาถึงที่นี่ ลูกหลานของข้า” จักรพรรดิมนุษย์กำลังนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์และมองมาที่หานเซิ่นด้วยความสนใจ

 

หานเซิ่นคิดว่ามันฟังดูแปลกๆ แต่จักรพรรดิมนุษย์เป็นอัลฟ่าของเผ่ามนุษย์ หานเซิ่นจึงสันนิษฐานไปว่าที่อีกฝ่ายเรียกเขาว่าลูกหลานนั้นเป็นพฤติกรรมปกติ แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็คิดว่ามันค่อนข้างแปลกอยู่ดี

 

“เจ้าควรเรียกข้าว่าหานเซิ่น” หานเซิ่นพูดขณะที่คิดกับตัวเอง

‘ถึงแม้นายจะเป็นจักรพรรดิมนุษย์ แต่นายก็ไม่ได้สร้างเผ่าพันธุ์ขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว มันต้องมีอัลฟ่าของเผ่ามนุษย์คนอื่นอยู่ มันไม่แน่เสมอไปว่าฉันและนายจะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน’

 

จักรพรรดิมนุษย์ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่หานเซิ่นกำลังคิด เขาพูดอย่างเป็นกันเองว่า

“ในอดีตคริสตัลไลเซอร์สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมามากมายด้วยการใช้ยีนของตัวเองรวมเข้ากับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่น มนุษย์เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาสร้างขึ้นมา เมื่อก่อนนั้นพวกเขาสร้างมนุษย์ขึ้นมาสิบสามคน และข้าเป็นหนึ่งในนั้น ข้าเป็นหนึ่งในสิบสามอัลฟ่าของมนุษย์ มันมีผู้ชายสามคนและผู้หญิงสิบคน เท่าที่ข้ารู้ผู้ชายอีกสองคนไม่รอด พวกเขาจึงให้กำเนิดลูกหลานไม่ได้”

 

จักรพรรดิมนุษย์หัวเราะออกมาเสียงดังและถาม “แบบนั้นข้ามีสิทธิ์ที่จะเรียกเจ้าว่าเป็นลูกหลานของข้าถูกไหม?”

 

หานเซิ่นไม่ตอบคำถาม เขาถามกลับไปแทนว่า “ทำไมเจ้าถึงอยากจะพบกับข้า?”

 

หานเซิ่นไม่สามารถปฏิเสธเรื่องที่จักรพรรดิมนุษย์อาจจะเป็นบรรพบุรุษได้ แต่ตอนนี้หานเซิ่นกุมชะตากรรมของชีวิตมากมายในสเปชการ์เด้น และเขายังไม่รู้ว่าจักรพรรดิมนุษย์ต้องการอะไรกันแน่ หานเซิ่นจึงไม่ต้องการเอาชีวิตของทุกคนในสเปชการ์เด้นมาเสี่ยงเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นบรรพบุรุษของเขา เขาจำเป็นต้องรู้ก่อนว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

 

จักรพรรดิมนุษย์ยังคงมองหานเซิ่นด้วยความสนใจ เขามองเหมือนกับว่ากำลังตรวจเช็คของเล่นใหม่

 

หลังจากผ่านไปสักพัก จักรพรรดิมนุษย์ก็พูดขึ้นว่า “เจ้าฝึกประตูแห่งชีวิต?”

 

“ใช่ แทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของวิชาโลหิตชีพจร ทำไมมันถึงได้ถูกแยกออกมาเป็นประตูแห่งชีวิตแทน?”

หานเซิ่นสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนั้นมาโดยตลอด หลังจากที่เขาฝึกประตูแห่งชีวิต เขาก็รู้ว่ามันเป็นประโยชน์ต่อวิชาโลหิตชีพจรของเขา แต่เขาไม่รู้ว่ามันส่งผลอะไร

 

“ทั้งวิชาโลหิตชีพจรและประตูแห่งชีวิตถูกข้าสร้างขึ้นมา มันแตกต่างกันตรงที่ว่าวิชาโลหิตชีพจรมาจากประสบการณ์ของข้า ขณะที่ประตูแห่งชีวิตคือสิ่งที่ข้าคิดขึ้นมา มันเป็นความล้มเหลว ดังนั้นในพยุโลหิตจึงไม่มีใครที่เปิดประตูแห่งชีวิตได้ จนถึงตอนนี้มันมีเพียงแค่ข้ากับเจ้าเท่านั้นที่เปิดประตูแห่งชีวิตของตัวเอง”

 

“อะไรนะ?” หานเซิ่นแปลกใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะที่มองไปที่จักรพรรดิมนุษย์ เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้

 

จักรพรรดิมนุษย์ดูเหมือนจะพึงพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองของหานเซิ่น เขาหัวเราะและพูดต่อ “เจ้าควรจะรู้สึกถึงมันได้ วิชาโลหิตชีพจรของเจ้านั้นแตกต่างไปจากวิชาโลหิตชีพจรของคนอย่างเทพแห่งผลกรรม เจ้ามีพลังมากมายที่เทพแห่งผลกรรมและคนอื่นๆไม่มี อย่างเช่นการที่เจ้าใช้วิชาโลหิตชีพจรของเจ้าเพื่อปรับปรุงยีนของสิ่งมีชีวิตอื่นและช่วยให้พวกเขาวิวัฒนาการ”

 

“ไม่แปลกใจเลยที่ข้าถึงรู้สึกว่าวิชาโลหิตชีพจรของข้าแตกต่างไปจากของเทพแห่งผลกรรม” หานเซิ่นพูดพร้อมกับพยักหน้า เขาคาดเดาเอาไว้แล้วว่ามันคงจะเป็นแบบนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นแค่การยืนยันข้อสันนิษฐานของเขาเท่านั้น

 

ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็ยังรู้สึกสับสน เขามองไปที่จักรพรรดิมนุษย์และถาม

“ถ้าประตูแห่งชีวิตทรงพลังขนาดนั้น ทำไมเจ้าถึงบอกว่ามันเป็นความล้มเหลวล่ะ? ทำไมเจ้าถึงไม่ให้สมาชิกของพยุหะโลหิตคนอื่นๆฝึกมัน?”

 

จักรพรรดิมนุษย์ไม่ได้ตอบคำถามของหานเซิ่น เขามองมาที่หานเซิ่นและยิ้ม

“เจ้าฝึกมันมานาน เจ้าคงจะรู้ถึงการทำงานของวิชาโลหิตชีพจรใช่ไหม? ทำไมเจ้าไม่ลองบอกข้ามา?”

 

หานเซิ่นไม่รู้ว่าทำจักรพรรดิมนุษย์ถึงถามแบบนั้น แต่เขาตอบไปว่า “ถ้าให้ข้าคาดเดา วิชาโลหิตชีพจรจะสกัดยีนบางอย่างที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ออกมา”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น จักรพรรดิมนุษย์ก็พยักหน้าและพูด

“ถูกต้อง ข้าสร้างวิชาโลหิตชีพจรขึ้นมาเพื่อที่มนุษย์จะกลับไปสู่ต้นกำเนิดของพวกเขา ข้าต้องการทำให้เลือดของมนุษย์กลับไปบริสุทธิ์อีกครั้ง แต่ประตูแห่งชีวิตนั้นไม่บริสุทธิ์ มันจะส่งผลตรงกันข้ามกับสิ่งที่ข้าต้องการ ด้วยเหตุนั้นประตูแห่งชีวิตจึงถือเป็นความล้มเหลว”

 

ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าประตูแห่งชีวิตไม่ได้เป็นความล้มเหลวจริงๆ มันแค่ไม่ใช่สิ่งที่จักรพรรดิมนุษย์ต้องการ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพูดว่ามันเป็นความล้มเหลว

 

“เจ้าจะบอกว่าต้นกำเนิดของมนุษย์คือยีนเลือดสีฟ้าอย่างนั้นหรอ? ทำไมมนุษย์ที่มีเลือดสีฟ้าถึงถูกบอกว่าเป็นมนุษย์ที่แท้จริง?”

 

จักรพรรดิมนุษย์มองไปที่หานเซิ่นและตอบ “มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นจากยีนของคริสตัลไลเซอร์รวมเข้ากับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่น ถ้าเจ้าคาดเดาการทำงานของวิชาโลหิตชีพจร เจ้าก็ควรจะรู้ว่าทำไมยีนสีฟ้าถึงเป็นยีนของมนุษย์ที่แท้จริง”

 

“เจ้าหมายความว่ายีนมนุษย์เป็นผลลัพธ์จากยีนของคริสตัลไลเซอร์และยีนเลือดสีฟ้ารวมเข้าด้วยกันอย่างนั้นใช่ไหม? ยีนเลือดฟ้านั่นมาจากสิ่งมีชีวิตไหนกัน?” หัวใจของหานเซิ่นเริ่มเต้นรัว เขาต้องการจะรู้คำตอบ

 

“เจ้าได้รับสปิริตศักดิ์สิทธิ์ของฉินซิว แต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าเลือดของฉินซิวเป็นสีฟ้าอย่างนั้นหรอ?” จักรพรรดิมนุษย์หลี่ตาขณะที่มองไปที่หานเซิ่น

 

“อะไรนะ?” หานเซิ่นร้องตะโกนอย่างตกใจ

“เจ้าจะบอกว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาจากยีนของคริสตัลไลเซอร์ผสมเข้ากับยีนของผู้นำเซเคร็ด?”

 

ทันใดนั้นหานเซิ่นก็เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเทพสปิริตถึงได้พยายามไล่ล่ามนุษย์ และมันก็อธิบายว่าทำไมพระเจ้าถึงบอกว่าคนที่มีเลือดสีฟ้าคือมนุษย์ที่แท้จริง ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะฉินซิวที่เป็นผู้นำเซเคร็ด

 

ดูเหมือนว่าจักรพรรดิมนุษย์จะชอบที่ได้เห็นหานเซิ่นตกใจ เขาหัวเราะและพูด

“เมื่อก่อนในตอนที่เซเคร็ดถูกทำลาย คริสตัลไลเซอร์โชคดีได้รับหยดเลือดหยดหนึ่งของฉินซิวมา พวกเขานำมันไปทำการวิจัย ในตอนที่พวกเขาหนีเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่ พวกเขารวมเลือดนั่นเข้ากับยีนของตัวเองและสร้างมนุษย์สิบสามคนขึ้นมา”

 

หลังจากหยุดไปชั่วครู่ จักรพรรดิมนุษย์ก็พูดต่อ “แต่ยีนของฉินซิวมีอยู่น้อยเกินไป มันจึงเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆของยีนมนุษย์ ข้าสร้างวิชาโลหิตชีพจรขึ้นมาก็เพื่อจะสกัดยีนอันน้อยให้แสดงออกมา แบบนั้นมนุษย์ก็จะเข้าใกล้ยีนของฉินซิว”

 

หลังจากนั้นจักรพรรดิมนุษย์ถอนหายใจและพูด

“ข้าไม่เคยคาดคิดว่าวิชาโลหิตชีพจรที่ข้าสร้างขึ้นมาจะทำไม่สำเร็จ ขณะที่ประตูแห่งชีวิตที่ข้าเชื่อว่าเป็นความล้มเหลวกลับช่วยให้เจ้าให้กำเนิดเสี่ยวฮวาที่มีร่างกายที่เหมือนกับของฉินซิวขึ้นมาได้สำเร็จ เว้นแต่ว่าเขาไม่มีเลือดสีฟ้า”

 

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset