“แข็งแกร่งอะไรขนาดนี้?” หานเซิ่นตกใจ แต่สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น หลังจากที่คิลสกายก็อตได้รับบาดเจ็บ เขาก็ต้องการจะหนีไป แต่ก่อนที่เขาจะได้หันกลับหลังไป
ร่างกายของหว่านเอ๋อร์ก็เริ่มเบลอๆอีกครั้ง เธอกวัดแกว่งมือไปมาขณะที่เธอเคลื่อนไหวด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก มือของเธอห่อหุ้มไปด้วยแสงสีทอง ขณะที่เธอเคลื่อนที่ผ่านคิลสกายก็อต ในตอนที่คิลสกายก็อตหันกลับหลังเพื่อจะวิ่งหนี หว่านเอ๋อร์ก็หยุดมือและค่อยๆหันกลับมามองที่หานเซิ่น
คิลสกายก็อตวิ่งหนีไปได้แค่สามสิบฟุตก่อนที่มีเลือดจะไหลออกมาทั่วร่างกาย ไม่นานร่างกายของเขาก็แหลกเป็นชิ้นๆ
วินาทีต่อมา หานเซิ่นก็เห็นแสงสีทองพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่มันถูกหยุดเอาไว้ด้วยพลังของระบบจักรวาลร้าง ทำให้มันไม่เกิดความเศร้าของพระเจ้า หลังจากที่ร่างกายของคิลสกายก็อตกลายเป็นแสงสีทอง มันก็มีกระดูกแขนส่วนบนของเขาเหลือทิ้งเอาไว้ กระดูกนั้นมีความยาวประมาทสามฟุต รูปร่างของมันเหมือนกับค้อนและมีสีดำสนิท
หานเซิ่นคิด ‘ดูเหมือนว่าพลังของหว่านเอ๋อร์จะแตกต่างไปจากพลังของเรา เทพสปิริตที่เธอฆ่าตายทิ้งสิ่งประจำตัวพระเจ้าเอาไว้ ขณะที่เทพสปิริตที่เราฆ่าไม่ทิ้งอะไรเอาไว้เลย แม้แต่สิ่งประจำตัวพระเจ้าก็สลายไป’
แต่ตอนนี้หานเซิ่นไม่มีเวลาจะมาคิดถึงเรื่องนั้น หว่านเอ๋อร์เทเลพอร์ตมาตรงหน้าหานเซิ่น หานเซิ่นรวบรวมพลังอย่างลับๆและมองไปที่หว่านเอ๋อร์ด้วยสายตาที่ระมัดระวัง
หว่านเอ๋อร์ผมทองนั้นอาจจะจดจำเขาไม่ได้ เมื่อคำนึงถึงพลังที่เธอเพิ่งจะแสดงออกมา เธอก็ไม่ใช่คนที่หานเซิ่นจะต่อสู้ด้วยได้
เมื่อหว่านเอ๋อร์มาถึงตรงหน้าหานเซิ่น เปลวไฟสีทองของหว่านเอ๋อร์และเปลวไฟสีขาวของหานเซิ่นก็เคลื่อนที่เข้าหากัน พลังทั้งสองหลอมเข้าด้วยกันราวกับว่าพวกมันกำลังเชื่อมต่อกัน
“พี่ชาย!” หว่านเอ๋อร์มองไปหานเซิ่นด้วยความแปลกใจและล้มลงไปทางหานเซิ่น
หานเซิ่นยื่นมือออกมารับตัวเธอเอาไว้ ซึ่งทำให้เปลวเพลิงสีทองและสีขาวของพวกเขาดับไป ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
“พี่ชาย… หว่านเอ๋อร์คิดถึงพี่ชาย หว่านเอ๋อร์คิดถึงพี่ชายมาก”
หานเซิ่นมองไปที่หว่านเอ๋อร์และเห็นว่าหนังตาของเธอดูหนักขึ้นเรื่อยๆ เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะมองมาที่หานเซิ่น แต่เธอไม่สามารถต่อสู้กับความง่วงนอนได้ ดวงตาของเธอปิดลงและเธอก็หลับไปในที่สุด
สีหน้าของหานเซิ่นดูไม่สู้ดีนัก สถานการณ์ของหว่านเอ๋อร์นั้นเลวร้ายมากๆ พลังชีวิตเธออ่อนแอจนเขาแทบจะสัมผัสถึงมันไม่ได้ มันดูเหมือนกับว่าเธอกำลังจะตาย
หานเซิ่นรีบเอาขวดจีโนฟลูอิดออกมาป้อนให้กับเธอ แต่มันก็ไม่ได้ผล เขาเรียกวิญญาณอสูรดอกบัวไลท์เวลล์ออกมา แต่มันก็ไม่สามารถช่วยหว่านเอ๋อร์ได้เช่นเดียวกัน
“ถ้าคิดถึงพี่ชายมากก็ต้องอดทนเอาไว้ ถ้าตายไป เจ้าก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นพี่ชายของเจ้าอีก” หานเซิ่นอุ้มหว่านเอ๋อร์ขึ้นและไปเก็บกระดูกของคิลสกายก็อตมา
หอคอยแห่งโชคชะตานั้นมีรอยร้าวตั้งแต่ด้านบนลงมาจนถึงด้านล่าง หานเซิ่นรู้ว่ามันไม่ได้ถูกทำลายโดยคิลสกายก็อต มันเป็นหว่านเอ๋อร์ที่ทำลายกำแพงของหอคอยเพื่อออกมาข้างนอก
หานเซิ่นอุ้มหว่านเอ๋อร์กลับเข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตาเพื่อเช็คสภาพภายในหอคอย ทุกอย่างยังคงอยู่ดีเว้นก็แต่จอมมารและราชครูกู่เยวียนได้หายตัวไปแล้ว
“ที่สุดแล้วจอมมารก็หนีไปได้ แต่นั่นไม่เป็นอะไร” หานเซิ่นวางหว่านเอ๋อร์ไว้ในหอคอยแห่งโชคชะตาและเก็บหอคอยเข้าไปในทะเลจิต
ขณะที่กำลังถือกระดูกแขนของคิลสกายก็อตเอาไว้ในมือ หานเซิ่นก็คิดกับตัวเอง
‘เรามีสิ่งประจำตัวพระเจ้าของอีวิลโลตัสและพระเจ้าเกราะนภาอยู่ก่อนแล้ว นี่เป็นสิ่งประจำตัวพระเจ้าชิ้นที่สามที่เราได้รับมา แต่อีวิลโลตัสและพระเจ้าเกราะนภานั้นเป็นแค่เทพสปิริตขั้นเดสทรัคชั่น สิ่งประจำตัวพระเจ้าของพวกเขาไม่อาจเทียบกับสิ่งประจำตัวพระเจ้าของคิลสกายก็อตที่เป็นขั้นแอนนิฮิเลชั่นได้’
หานเซิ่นลังเลที่จะเปลี่ยนพวกมันเป็นอาวุธ เพราะมันต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่น เขารู้ว่าสิ่งประจำตัวพระเจ้านั้นคือยีนเทพสปิริต หานเซิ่นรู้ในเรื่องนั้นจากเสียงประกาศที่ได้ยิน ถึงแม้เขาจะดูดซับยีนเทพสปิริตไม่ได้ แต่เขาก็เชื่อมาโดยตลอดว่าถ้าเขาดูดซับยีนอื่นๆได้ มันก็ต้องมีหนทางที่เขาจะดูดซับยีนของเทพสปิริตได้เช่นกัน แต่เขาอาจจะยังไม่ค้นพบมันเท่านั้น
มันเหมือนกับตอนที่เขาได้รับยีนขั้นสุดยอดภายในก็อตแซงชัวรี่ ในตอนแรกผู้คนไม่สามารถดูดซับพวกมันได้ ซึ่งยีนเทพสปิริตก็อาจจะเหมือนกัน
หานเซิ่นไม่แน่ใจว่าเมื่อสิ่งประจำตัวพระเจ้าถูกเปลี่ยนเป็นอาวุธพระจำตัวพระเจ้าแล้ว เขายังจะดูดซับมันเข้าไปได้ไหม
‘คิลสกายก็อตนั้นแข็งแกร่งมากๆ แค่เขาเข้าสิงสิ่งมีชีชิตอื่นเพื่อจุติลงมา เขาก็เกือบจะไร้เทียมทานแล้ว ถ้าอยู่ในวิหารพระเจ้าเขาก็คงจะน่ากลัวยิ่งกว่านั้น ภายใต้สถานการณ์ปกติ มันก็คงจะเป็นเรื่องยากที่เราจะฆ่าคิลสกายก็อตกับพระเจ้าชั่วพริบตาได้ แต่ถ้าเรามีอาวุธประจำตัวพระเจ้าของคิลสกายก็อต โอกาสชนะของเราก็จะเพิ่มสูงขึ้น แต่หวังว่ามันจะเป็นชุดเกราะ แบบนั้นเราก็จะไม่ต้องกลัวที่จะถูกพระเจ้าชั่วพริบตาฆ่าตาย’ ถึงหานเซิ่นจะคิดแบบนั้น แต่เขาก็รู้ว่าโอกาสที่สิ่งประจำตัวพระเจ้าของคิลสกายก็อตจะเป็นชุดเกราะนั้นน้อยมากๆ กระดูกแขนที่เขาได้รับมานั้นคงจะไม่มีทางเป็นชุดเกราะไปได้
แต่ไม่ว่ามันจะกลายเป็นอะไร การมีอาวุธประจำตัวพระเจ้าขั้นแอนนิฮิเลชั่นอยู่ก็ควรจะช่วยเขาได้บ้าง
หานเซิ่นเอากระดูกแขนไปเก็บเอาไว้ก่อนที่เริ่มคิดว่าต้องทำอะไรต่อ เขาตัดสินใจจะลองไปเช็คที่ปราสาทศักดิ์สิทธิ์ดู ในเมื่อตอนนี้เขาก็มาอยู่ในจักรวาลร้างแล้ว เขาอยากรู้ว่าเสี่ยวฮวาและแมวเก้าชีวิตนั้นกลับมาหรือยัง
ตอนนี้เขาเปลี่ยนกลับมาใช้ตัวตนของหานเซิ่น เมื่อเขาไปถึงปราสาทศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ได้เห็นก็ทำให้เขาตกตะลึง
ก่อนหน้านี้ปราสาทศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายโดยหานเซิ่น แต่ตอนนี้ซากปรักหักพังของปราสาทนั้นถูกย้อมไปด้วยเลือดสีดำ
เรดโกสต์ อสูรไร้ดวงตาและอีแร้งแก่นั้นนอนกองอยู่บนซากปรักหักพัก ตามร่างกายของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยบาดแผลและพลังชีวิตของพวกเขาก็ไม่เหลือแล้ว
ร่างของอสูรยักษ์ไร้ดวงตาถูกตัดขาดครึ่ง เรดโกสต์ก็ถูกตัดหัวและขนของอีแร้งแก่ก็ถูกถอนออกจนหมด มันมีเงาของคนๆหนึ่งยืนอยู่บนซากปรักหักพัง คนๆนั้นกำลังยกร่างของอาเหมยขึ้นไปในอากาศ
อาเหมยไม่มีพละกำลังจะดิ้นรน เธอพยายามจะแกะมือที่จับคอของเธออยู่ แต่เธอไม่สามารถทำอะไรได้
“นาย…ท่าน…” เมื่ออาเหมยเห็นหานเซิ่นเข้ามาในรัศมีของตะเกียง เธอก็เริ่มดูมีความหวังขึ้นมา เธอรวบรวมพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่เพื่อตะโกนบอกหานเซิ่น “ระวังเฒ่าแมว…”