พลังของเลือดสีฟ้าเกือบจะท่วมท้นทั่วร่างกายของเขา มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกแปลกๆ พลังของเลือดสีฟ้านั้นแข็งแกร่งมากๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มอบความรู้สึกของการละทิ้งให้กับหานเซิ่น พลังทุกอย่างที่เขาสั่งสมมาถูกผลักดันออกไปจากร่างกาย มันเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยรู้จักกำลังถูกทิ้งไป
“เวรเอ้ย!” หานเซิ่นเกลียดชังความรู้สึกนี้ที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาพยายามจะต่อสู้กับพลังของเลือดสีฟ้า แต่พลังของตัวเขาเองนั้นไม่แข็งแกร่งเหมือนอย่างพลังของเลือดสีฟ้า ร่างกายของเขากำลังเสียการควบคุม
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ เขาแค่จำเป็นต้องทำตามความต้องการของเลือดสีฟ้า หลังจากนั้นเขาก็จะควบคุมร่างกายตัวเองได้ แต่หานเซิ่นไม่ต้องการทำตามที่เลือดสีฟ้าต้องการ
กายหยก… ใช้ไม่ได้… ศาสตร์ตงเสวียน… ก็ใช้ไม่ได้เช่นเดียวกัน
หานเซิ่นลองใช้วิชาจีโนหลายต่อหลายวิชา แต่เขาสัมผัสถึงพลังของพวกมันไม่ได้เลย แม้แต่เรื่องราวของยีนก็ไม่มีปฏิกิริยา
เขาต้องการจะกลายเป็นซีโน่เจเนอิค แต่เขาก็ยังคงไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบสนองจากร่างกายเช่นเดียวกัน
‘หว่านเอ๋อร์ยังคงอยู่ในหอคอยแห่งโชคชะตา ร่างกายของเราสูญเสียการควบคุม ดังนั้นเราจึงเอาเธอออกมาไม่ได้ เราคงจะใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดได้ไม่นาน แต่ตอนนี้มันไม่มีทางอื่นอีกแล้ว เราจำเป็นต้องลองดู’
ในจังหวะที่หานเซิ่นเตรียมตัวจะใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด จู่ๆหลังของเขาก็รู้สึกร้อนขึ้นมา มันเจ็บปวดอย่างมากจนทำให้เขาต้องส่งเสียงร้องออกมา
ตอนนี้หานเซิ่นไม่สามารถใช้ศาสตร์ตงเสวียนได้ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแผ่นหลังของตัวเอง แต่หลังจากที่แผ่นหลังของเขาร้อนขึ้นมา พลังของเลือดสีฟ้าก็หยุดกัดกร่อนร่างกายของเขาโดยเฉพาะบริเวณหลังของเขา พลังของเลือดสีฟ้าไม่สามารถเข้าครอบงำส่วนนั้นได้ ในตอนที่เลือดสีฟ้าไปถึงหลังของเขา พวกมันก็ละเหยไปด้วยความร้อน
ถึงแม้มันจะกำจัดพลังของเลือดสีฟ้าไม่ได้ทั้งหมด แต่มันก็ทำให้หานเซิ่นรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม เขาพยายามเอากระจกออกมาและดึงเสื้อคลุมสีฟ้าออกเพื่อจะดูแผ่นหลังของตัวเอง
ในตอนที่เขาเห็นหลังของตัวเอง หานเซิ่นก็รู้สึกแปลกใจ บนแผ่นหลังของเขามีสีแดงของเลือดอยู่ รอยสักแมวเก้าชีวิตปรากฏขึ้นบนหลังของเขา มันเป็นรอยสักแมวเก้าชีวิตเดียวกับที่อยู่บนหลังของซีโร่
หานเซิ่นคิด ‘ทำไมรอยสักแมวเก้าชีวิตถึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง? มันถูกดูดซับเข้าไปแล้วไม่ใช่หรอ?’
เมื่อก่อนนั้นในตอนที่สร้อยคอแมวเก้าชีวิตรวมเข้ากับเขา เขาก็ได้รับรอยสักแมวเก้าชีวิตมา แต่ในภายหลังรอยสักก็ถูกดูดซับไป ขณะที่เขาฝึกวิชาโลหิตชีพจร
ตอนนี้ขณะที่เลือดสีฟ้ากำลังเข้ายึดครองร่างกายของหานเซิ่น รอยสักแมวเก้าชีวิตที่หายไปก็กลับคืนมาอีกครั้ง มันสามารถต่อต้านการคุกคามของเลือดสีฟ้า และไม่ปล่อยให้เลือดสีฟ้าเข้ายึดครองร่างกายของเขา
หานเซิ่นคิด ‘ในอดีตสร้อยคอแมวเก้าชีวิตมีผลต่อต้านเลือดสีฟ้า ถึงแม้เราจะดูดซับมันเข้าไป ผลต่อต้านของมันก็ยังคงอยู่ แต่เลือดสีฟ้าของจักรพรรดิมนุษย์นั้นทรงพลังเกินไป แม้แต่พลังของสร้อยคอแมวเก้าชีวิตก็ไม่อาจจะขับพลังของเลือดสีฟ้าออกไปจนหมดได้’
พลังของเลือดสีฟ้าและพลังของรอยสักแมวเก้าชีวิตนั้นถูกใช้งานโดยวิชาโลหิตชีพจรเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ต่อต้านกันและกัน
แต่พลังของรอยสักแมวเก้าชีวิตนั้นอ่อนแอกว่า และมันก็อัดแน่นอยู่แค่บนแผ่นหลังของเขาเท่านั้น เลือดสีฟ้ายังคงยึดครองร่างกายส่วนอื่นของหานเซิ่น พลังทั้งสองกำลังต่อสู้กันในร่างกายของหานเซิ่นโดยที่ไม่มีฝ่ายไหนเป็นฝ่ายชนะ
หานเซิ่นเริ่มพอจะควบคุมร่างกายตัวเองได้บ้างแล้ว เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะลุกขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน และเขาก็ไม่สามารถใช้กาแล็กซี่เทเลพอร์ตเทชั่นได้
“นั่นน่าจะเป็นดาวเคราะห์ที่มีผู้คนอยู่อาศัย” หานเซิ่นมองไปรอบๆและสังเกตเห็นว่ามันมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขาอยู่ มันดูใกล้ยิ่งกว่าดวงจันทร์กับโลกมนุษย์ เขามองเห็นภูเขาและต้นไม้บนดาวเคราะห์ดวงนั้น
หานเซิ่นมองดูอีกสักพัก และเขาก็สังเกตเห็นสิ่งก่อสร้างบนดาวเคราะห์ใกล้ๆ เขาบังคับร่างกายตัวเองให้บินออกไปที่ดาวดวงนั้น ตอนนี้หานเซิ่นใช้ได้แค่พลังของร่างกายเพื่อบินออกไป เขาอยากรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่
เลือดสีฟ้าและเลือดสีแดงของรอยสักแมวเก้าชีวิตกำลังทำสงครามกันภายในร่างกายของเขา ความรู้สึกจากการถูกกัดกร่อนนั้นเป็นอะไรที่เจ็บปวดอย่างที่สุด และนอกจากนั้นหานเซิ่นก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้อย่างเต็มที่ แม้จะบินในระยะใกล้ๆแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเซไปเซมาราวกับว่าเขากำลังจะร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ
ปัง!
ในตอนที่หานเซิ่นเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ เขาก็ถูกดึงดูดโดยแรงโน้มถ่วงของดวงดาว เขาไม่สามารถต้านแรงโน้มถ่วงได้และร่วงลง
โชคดีที่ร่างกายของเขาแข็งแกร่ง เขาตกลงมาจากที่สูงและชนเข้ากับกิ่งไม้ระหว่างที่ร่วงลงมา ทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก
หานเซิ่นลุกขึ้นมาจากพื้นและบินออกไปหาสิ่งก่อสร้างที่อยู่บนภูเขาที่เขาสังเกตเห็น หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็บินไปถึงสิ่งก่อสร้างนั้น แต่ในตอนที่เขาเห็นว่าสิ่งก่อสร้างนั้นมีหน้าตาเป็นยังไง เขาก็รู้สึกผิดหวัง
มันเป็นบ้านไม้ที่ดูเก่ามากๆ เมื่อดูจากวัสดุและสไตล์ของมันแล้ว เทคโนโลยีของดาวเคราะห์ดวงนี้คงจะยังไม่ถึงยุคสมัยของการเดินทางระหว่างดวงดาว
“ไหนๆเราก็มาถึงที่นี่แล้ว บางทีเราควรจะเข้าไปถามดู”
หานเซิ่นบินลงไปตรงหน้าประตู เขาต้องการจะเคาะ แต่เขาเห็นประตูเปิดออกมาก่อน
“ข้ารอคอยเจ้ามาเป็นเวลานาน เข้ามาข้างใน” ชายแก่ที่เปิดประตูยิ้มให้กับหานเซิ่นและเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“เจ้าเป็นใครกัน?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว
“เข้ามาข้างในก่อนสิ เจ้าตกอยู่ในสภาพแบบนั้นเรียบร้อยแล้ว มันยังมีอะไรต้องกลัวอีก” ชายแก่ไม่ได้หันกลับมามอง
หานเซิ่นคิดว่าชายแก่นั้นพูดถูก เขาเป็นแบบนี้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขายังต้องกลัวอะไรอีก
หานเซิ่นเดินเข้าไปในบ้านเก่าและเข้าไปยังห้องนั่งเล่นร่วมกับชายแก่
ห้องนั่งเล่นนั้นดูเก่ามากเช่นเดียวกับตัวบ้าน มันมีโต๊ะสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ข้างใน แต่สีแดงที่เคยถูกทาเอาไว้นั้นลอกออกไปหมดแล้ว มันดูเก่ามากๆ
“ดื่มอะไรหน่อยไหม” ชายแก่นั่งลงบนเก้าอี้ไม้และโยนน้ำเต้าไวน์ให้กับหานเซิ่น
หานเซิ่นรับน้ำเต้าไวน์มาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เขาเปิดฝาออกและยกมันขึ้นดื่ม เขาไม่ได้กังวลอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ภายใต้พลังของเลือดสีฟ้า มันมีน้อยพิษมากที่จะทำร้ายร่างกายของเขาได้
“ถ้าเจ้าต้องการบางสิ่ง ก็บอกข้ามาตรงๆ” หานเซิ่นโยนน้ำเต้าไวน์คืนให้กับชายแก่และนั่งลงบนขอบประตู
ชายแก่ยกไวน์ดื่มเช่นกัน หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับหานเซิ่นและถาม
“เจ้าเชื่อในโชคชะตาไหม?”
“เชื่อ แต่ไม่ทั้งหมด” หานเซิ่นตอบ
“อะไรที่ทำให้เจ้าพูดแบบนั้น?” ชายแก่ถามด้วยความสนใจ
“มันมีหลายสิ่งในชีวิตที่ถูกชะตากำหนดเอาไว้แล้ว แต่ถ้าเราต้องการเพิ่ม เราก็ต้องต่อสู้เพื่อมัน” หานเซิ่นพูด
ชายแก่มองหานเซิ่นและถาม “ถ้าข้าจะบอกเจ้าว่า เจ้าและครอบครัวของเจ้าถูกชะตากำหนดให้ตาย เจ้าจะเชื่อข้าไหม?”