‘เป็นวิหารพระเจ้าของอีวิลโลตัสก็อตจริงๆด้วย ทำไมโลกนี้ถึงได้มีวิหารพระเจ้าของอีวิลโลตัสก็อตอยู่? โลกทั้งสองมีความสัมพันธ์กันยังไง?’ หานเซิ่นคิด
มิสเตอร์หยางบอกหานเซิ่นว่าทุกเมืองในอาณาจักรของจักรวาลมีวิหารพระเจ้าอยู่ เหตุผลที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าวิหารพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว ขณะที่เมืองของมนุษย์ถูกสร้างขึ้นรอบๆวิหารพระเจ้าในภายหลัง
ในโลกใบนี้วิหารพระเจ้านั้นมีพลังพิเศษ ไม่ใช่เพียงแค่พวกมันจะปกป้องเมืองของมนุษย์เท่านั้น พวกมันยังมอบพลังของโลหิตชีพจรให้กับมนุษย์อีกด้วย
ขณะที่หานเซิ่นกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เขาเห็นสามัญชนเข้าแถวเรียงต่อกันอยู่ตรงหน้า ภายใต้สายตาของทหาร สามัญชนที่อยู่หน้าสุดได้รับอนุญาตให้เดินเข้าไปในวิหาร ในตอนที่คนๆนั้นอยู่ตรงหน้ารูปปั้นของอีวิลโลตัสก็อต เขาก็จะลงไปคุกเข่าภาวณาต่อเทพสปิริตจากใจจริง
สามัญชนคนนั้นเป็นเด็กผู้ชายที่อายุไม่มากนัก หลังจากที่ภาวณาเสร็จ เขาก็เฉือนนิ้วตัวเองและหยดเลือดลงไปบนเตาหินสีม่วง หลังจากนั้นเขาก็มองเตาหินสีม่วงอย่างเป็นกังวล
แต่หลังจากผ่านไปสักพัก เตาหินก็ยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง ในตอนแรกชายหนุ่มเต็มไปด้วยความหวัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปความหวังก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ร่างกายของเขาเริ่มจะสั่นและขาอ่อนลงไป เขาเกือบที่จะล้มลงไปกับพื้น
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่ข้าจะไม่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริต… มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ… มันต้องมีอะไรผิดพลาด…”
ชายหนุ่มดูเหมือนกับคนบ้า หลังจากนั้นเขาก็ใช้มีดเฉือนแขนตัวเองหลายต่อหลายครั้งเพื่อหยดเลือดทั้งหมดลงไปบนเตาหินสีม่วง
แต่เตาหินสีม่วงก็ยังคงไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆต่อเลือดของชายหนุ่ม ชายหนุ่มดูเหมือนจะเสียสติ เขาตัดข้อมือและเส้นเลือดของตัวเองจนขาด มันทำให้เลือดในร่างกายของเขาไหลลงไปบนเตาหินเหมือนกับน้ำตก
“ข้าต้องมีโลหิตชีพจรเทพสปิริต… ข้าต้องมี…”
ดวงตาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวขณะจ้องไปที่เตาหินสีม่วง
เตาหินยังคงนิ่งสนิทไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ ที่สุดแล้วชายหนุ่มก็เสียเลือดมากจนล้มลงไปบนพื้น เขาหมดสติไปขณะที่เลือดของเขายังคงไหลออกมาเรื่อยๆ ทุกคนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีใครคนไหนดูประหลาดใจ พวกเขาดูจะเคยชินกับเหตุการณ์แบบนี้และไม่มีใครที่เป็นห่วงชีวิตของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มที่หมดสตินั้นถูกพาตัวออกไปจากวิหารพระเจ้าโดยทหาร เขาถูกลากตัวออกไปไม่ต่างจากสุนัขที่เสียชีวิต ทหารโยนเขาทิ้งไว้บนพื้น ไม่มีใครรู้ว่าเขาตายไปแล้วหรือว่ายังมีชีวิตอยู่
คนที่สองที่เข้าไปในวิหารเป็นเด็กสาวที่สวมเสื้อผ้าหลายชั้น เธอดูหวาดกลัวมาก ร่างกายของเธอสั่นรัว ขณะที่เธอเดินเข้าไปในวิหารพระเจ้า แต่เธอดูต่างไปจากชายหนุ่มคนก่อนหน้า มันมีสมาชิกในครอบครัวหลายคนที่คอยให้กำลังใจเธอจากด้านนอก หลังจากที่เด็กสาวรวบรวมความกล้าได้ เธอก็เดินไปอยู่ตรงหน้าแท่นบูชา เธอคุกเข่าลงและภาวณาต่อหน้ารูปปั้นของอีวิลโลตัสก็อตเหมือนกับชายหนุ่ม ก่อนที่จะนำเอาเข็มออกมาจิ้มนิ้วมือเพื่อหยดเลือดลงไปบนเตาหินสีม่วง
หลังจากที่เด็กสาวหยดเลือดลงไป ไม่นานเตาหินสีม่วงก็เรืองแสงแห่งเทพออกมา แสงสีม่วงสว่างขึ้นเรื่อยๆและเริ่มก่อตัวเป็นดอกบัวแสงสีม่วงเหนือเตาหิน
เด็กสาวดูดีใจอย่างมากเมื่อเห็นดอกบัวแสงสีม่วง เธอร้องไห้ออกมา สมาชิกในครอบครัวของเธอที่อยู่ข้างนอกเองก็ปลาบปลื้มใจเช่นกัน พวกเขาคุกเข่าลงเพื่อขอบคุณต่ออีวิลโลตัสก็อต
ดอกบัวแสงสีม่วงลอยออกมาจากเตาหินไปที่หน้าผากของเด็กสาว มันแทรกซึมเข้าไปในตัวเธอและกลายสัญลักษณ์ดอกบัวแสงบนหน้าผาก หลังจากนั้นมันก็ค่อยๆจางหายไป
“ยินดีด้วย เจ้ามีโลหิตชีพจรของอีวิลโลตัสก็อต”
ทหารที่ก่อนหน้านี้ดูเลือดเย็นยิ้มออกมา เขาส่งเด็กสาวกลับไปอย่างมีมารยาทต่างจากที่เขาทำกับชายหนุ่มก่อนหน้านี้
“มิสเตอร์หยาง นี่หมายความว่าเด็กสาวได้รับโลหิตชีพจรจากอีวิลโลตัสก็อตอย่างนั้นใช่ไหม? วิหารพระเจ้าของเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตอยู่ในระดับไหนอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
มิสเตอร์หยางตอบ “วิหารพระเจ้ามีอยู่ด้วยกันสี่ระดับ เดสทรัคชั่น ดิแซสเตอร์ แอนนิฮิเลชั่นและรีบูท ยิ่งระดับของวิหารพระเจ้าสูงมากเท่าไหร่ โลหิตชีพจรที่ได้รับก็จะทรงพลังมากเท่านั้น อีวิลโลตัสก็อตเป็นเทพสปิริตขั้นเดสทรัคชั่น ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นการได้รับโลหิตชีพจรก็เปิดโอกาสให้คนนั้นๆฝึกวิชาได้ นี่ถือเป็นเงื่อนไขจำเป็นที่จะกลายเป็นขุนนาง”
หลังจากนั้นมิสเตอร์หยางก็ถอนหายใจและพูด “ถึงมันดูไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ผ่านขั้นตอนนี้ มันเหมือนกับเส้นแบ่งระหว่างสวรรค์กับนรก”
หานเซิ่นพยักหน้า เขามองไปที่เด็กสาว ถึงแม้เธอจะได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตของอีวิลโลตัสก็อต แต่ร่างกายของเธอก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ พลังของเธอไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น
โลหิตชีพจรเทพสปิริตนั้นจริงๆแล้วเป็นเหมือนกับกุญแจ มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความแข็งแกร่งของมนุษย์ สิ่งที่ตัดสินความแข็งแกร่งของมนุษย์คือไข่ยีนและยีนเรซ
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็เห็นชายแก่ผมขาวเดินเข้าไปในวิหาร เขาจึงถามด้วยความสงสัย “ทำไมถึงมีคนแก่เข้าทดสอบการเปิดโลหิตชีพจรด้วย?”
มิสเตอร์หยางอธิบาย “นั่นเป็นเพราะวิหารพระเจ้าทั้งหมดมีพลังที่แตกต่างกัน เกณฑ์การถูกเลือกจึงแตกต่างกันไปด้วย ถึงคนๆหนึ่งจะไม่ได้รับโลหิตชีพจรจากวิหารของอีวิลโลตัสก็อต พวกเขาก็ไปลองอีกครั้งที่วิหารพระเจ้าอื่นได้ แต่โอกาสสำเร็จนั้นน้อยมากๆ เพราะเทพสปิริตส่วนใหญ่จะมีเกณฑ์ที่ใกล้เคียงกัน”
หานเซิ่นมองดูอยู่อีกสักพัก นอกจากเด็กสาวคนก่อนหน้านี้ มีมนุษย์อีกหลายคนที่เข้าไปในวิหาร แต่พวกเขาไม่ได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริต
‘เมื่อก่อนฉินซิวเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริต แต่หว่านเอ๋อมอบโลหิตชีพจรเทพสปิริตของตัวเองให้กับเขา ในโลกใบนี้ดูเหมือนว่ามนุษย์ที่ไม่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริตจะฝึกวิชาไม่ได้ นั่นเป็นอะไรที่น่าเศร้า’ หานเซิ่นคิดขณะที่มองดู เขาไม่เข้าใจว่าโลหิตชีพจรเทพสปิริตกับการฝึกวิชาของมนุษย์นั้นมีความเกี่ยวข้องกันยังไง
ทันใดนั้นมิสเตอร์หยางก็เห็นหานเซิ่นเดินไปเข้าคิว เขาถามด้วยความตกใจ “นายท่านกำลังทำอะไร?”
“นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก ข้าจึงอยากลองทดสอบดู” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม
“นายท่าน…” มิสเตอร์หยางต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขารีบห้ามตัวเองเอาไว้
หลังจากที่เข้าคิวอยู่สักพัก มันมีเสียงตื่นเต้นดังขึ้นมา มีชายคนหนึ่งร้องตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจ เลือดของเขาเผยให้เห็นดอกบัวแสงสีม่วงบนเตาหินสองดอก
‘พลังของอีวิลโลตัสก็อตจะมีปฏิกิริยาแบบไหนกับเลือดของฉันกัน’ หานเซิ่นคิด
ไม่ไกลออกไปจากวิหารพระเจ้า พีชฟูลกำลังมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เมื่อเธอเห็นหานเซิ่นกำลังเข้าคิวอยู่ เธอก็ดูประหลาดใจ หลังจากนั้นเธอก็หัวเราะกับตัวเอง
“ไม่รู้ว่าข้าจะหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาได้ยังไง แต่ตอนนี้เขากลับมาที่วิหารพระเจ้าเพื่อรับการทดสอบ นี่ถือว่าช่วยได้มาก”