Super God Gene – ตอนที่ 3040 ไม่คุกเข่าคำนับเทพสปิริต

โอกาสที่มนุษย์จะได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตนั้นไม่ได้ต่ำอย่างที่หานเซิ่นคิดเอาไว้ในตอนแรก ดูเหมือนว่ามันจะมีโอกาสสำเร็จในอัตราส่วนหนึ่งต่อห้า

 

มนุษย์ส่วนใหญ่จะได้รับดอกบัวแสงสีม่วงแค่หนึ่งดอกเท่านั้น การได้รับดอกบัวแสงสีม่วงสองดอกถือว่าหาได้ยากมากๆ แต่มันมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ได้รับดอกบัวแสงสีม่วงถึงสี่ดอกด้วยกัน

 

มันเกือบที่จะถึงตาของหานเซิ่น มิสเตอร์หยางอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา

“นายท่าน นี่นายท่านต้องการรับการทดสอบจริงๆอย่างนั้นหรอ?”

 

หานเซิ่นหันมามองเขาและถาม “มันมีปัญหาหรือยังไง?”

 

มิสเตอร์หยางมองซ้ายขวา ก่อนที่จะขยับเข้ามาใกล้หานเซิ่นและกระซิบ

“นายท่าน เทพสปิริตนั้นจะมอบโลหิตชีพจรให้กับมนุษย์เท่านั้น”

 

หานเซิ่นเข้าใจว่ามิสเตอร์หยางพยายามจะบอกอะไร มิสเตอร์หยางคิดว่าหานเซิ่นเป็นยีนเรซ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกกังวล

 

“ถ้ายีนเรซหยดเลือดของพวกเขาลงไปบนเตาหิน มันจะเกิดอะไรขึ้น?” หานเซิ่นถามด้วยรอยยิ้ม

 

“มันคงจะไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น” มิสเตอร์หยางพูดหลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะไม่มีปัญหาอะไร” หานเซิ่นพูดปลอบใจเขา

“ถ้ามันไม่มีปฏิกิริยาอะไร มันก็แค่หมายความว่าข้าไม่ได้รับโลหิตชีพจร เจ้าไม่มีความจำเป็นต้องกังวล”

 

มิสเตอร์หยางคิดว่าที่หานเซิ่นพูดนั้นสมเหตุสมผล แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงที่มาอันแปลกประหลาดของหานเซิ่น ถ้ามันมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น มันก็จะส่งผลกระทบต่อเขาด้วย

 

พวกเขารอคิวอยู่อีกสักพัก และในที่สุดมันก็ถึงตาของหานเซิ่น หานเซิ่นเดินเข้าไปในวิหารพระเจ้าอย่างสบายใจ ขณะที่หัวใจของมิสเตอร์หยางเต้นตึกตัก พีชฟูลมองดูจากระยะไกลอย่างใจจดใจจ่อ เธอตั้งตารอจะได้เห็นผลลัพธ์จากการทดสอบของหานเซิ่น

 

หลังจากที่เข้าไปในวิหารพระเจ้า หานเซิ่นก็เดินตรงเข้าไปหาเตาหินสีม่วงในทันที เขาต้องการจะหยดเลือดลงไป แต่ทันใดนั้นทหารสองคนรีบเข้ามาหยุดเขาเอาไว้

“นี่เจ้ายังไม่ได้คุกเข่าต่อหน้าเทพสปิริต”

 

หานเซิ่นขมวดคิ้วเมื่อได้ยินพวกเขา เขาเคยฆ่าอีวิลโลตัสมาก่อน ตอนนี้เมื่อทหารทั้งสองต้องการให้เขาคุกเข่าลงต่อหน้ารูปปั้นของอีวิลโลตัส มันก็ไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรแบบนั้น

 

“รีบคุกเข่าลง” ทหารพูดอย่างใจร้อน

 

หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับมัน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจจะหันกลับ เขาก็แค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น จริงๆแล้วการรับการทดสอบไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับเขา การต้องคุกเข่าต่อหน้าอีวิลโลตัสก็อตนั้นเป็นบางสิ่งที่เขาไม่อยากทำ

 

เมื่อเห็นหานเซิ่นหันกลับ ทหารที่เฝ้าวิหารอีวิลโลตัสก็อตก็ประหลาด พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี

 

ในตอนที่หานเซิ่นเกือบจะออกไปจากวิหารพระเจ้า มีชายคนหนึ่งเข้ามาขวางหน้าเขาเอาไว้ “เจ้าจะจากไปง่ายๆแบบนั้นอย่างงั้นหรอ?”

 

“ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีบางสิ่งที่สำคัญต้องไปทำ ข้าจะยังไม่ทดสอบในวันนี้” หานเซิ่นพูด

 

“ไม่เป็นอะไรถ้าเจ้าไม่ต้องการรับการทดสอบ แต่เมื่อเจ้าเข้ามาในวิหารพระเจ้า อย่างน้อยเจ้าก็ต้องคุกเข่า ไม่อย่างนั้นมันจะถึงว่าเป็นการดูหมิ่นต่อเทพสปิริต” ชายคนนั้นไม่หลีกทางและพูดกับหานเซิ่นอย่างเย็นชา

 

เมื่อได้ยินอย่างนั้นทหารที่เฝ้าวิหารพระเจ้าก็เริ่มรู้สึกตัวว่าควรจะทำยังไง พวกเขารีบเข้ามาล้อมหานเซิ่นเอาไว้

 

มิสเตอร์หยางรีบวิ่งเข้ามาและพูด “นายน้อยซือป๋อ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพื่อนของข้าคนนี้เดินทางมาจากภูเขา เขาไม่รู้กฎระเบียบของที่นี่ ถ้าเขาไปล่วงเกินนายน้อย ได้โปรดเห็นแก่ข้าและปล่อยเขาไปด้วยเถอะ”

 

เขาไม่ได้กลัวว่าหานเซิ่นจะถูกทำร้าย แต่เขากลัวว่าซือป๋อจะไปทำให้หานเซิ่นโกรธ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ถ้าหานเซิ่นลงมือฆ่าซือป๋อ

 

ซือป๋อเป็นบุตรชายของเจ้าเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต ถ้าเขาถูกฆ่าตาย เจ้าเมืองก็ไม่มีทางอยู่เฉยแน่ และถ้าเกิดหานเซิ่นไปฆ่าเจ้าเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตเข้าอีกคน เรื่องนี้ก็จะลามไปทั่วทั้งอาณาจักรฉิน

 

ในสายตาของซือป๋อ ไม่ว่าหานเซิ่นจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน เขาก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง มันไม่มีทางที่เขาจะต่อสู้กับยีนเรซชั้นสูงของอาณาจักรฉินได้

 

“ถ้าเขามาจากภูเขา มันก็สมเหตุสมผล” ซือป๋อพูดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าเข้าใจ แต่หลังจากนั้นเขาก็พูดอย่างเย็นชา

“แต่ข้าไม่สนใจว่าเขาจะมาจากที่ไหน ความผิดฐานดูหมิ่นเทพสปิริตคือโทษตาย ถ้าเขาคุกเข่าในตอนนี้ ข้าไว้ชีวิตของเขา ไม่อย่างนั้นล่ะก็เขาก็ต้องรับโทษ”

 

ก่อนที่ซือป๋อจะพูดจบ หานเซิ่นก็พูดขัดขึ้นมา “ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าก็ไม่คุกเข่า”

 

“เจ้าไม่คุกเข่าก็ไม่เป็นไร” ซือป๋อเย้ยหยัน เขาชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า วินาทีต่อมามีเสียงบูมดังขึ้นมา มีสิ่งมีชีวิตเปลือกสีดำขนาดยักษ์หล่นลงมาตรงหน้าของเขา มันทำให้ทั้งลานกว้างสั่นสะเทือน

 

หานเซิ่นมองไปที่สิ่งมีชีวิตเปลือกสีดำนั่น มันดูเหมือนกับด้วง เปลือกสีดำของเขาเรืองแสงออกมา ปีกของมันกลับหัวกลับหาง มันดูพร้อมที่จะเขมือบใครสักคนเข้าไป

 

“ถ้าเจ้าอยากจะกลายเป็นอาหารของโอเวอร์แบริ่งบั๊ก เจ้าก็ไม่ต้องรับโทษที่ดูหมิ่นต่อเทพสปิริต” ซือป๋อพูดอย่างเย้ยหยัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอวดดี

 

“นี่คือโอเวอร์แบริ่งบั๊กของนายน้อยซือป๋อ ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นยีนเรซระดับราชัน มันมีพลังโจมตีและป้องกันที่สุดยอด”

 

“ถ้าข้ามียีนเรซที่ทรงพลังแบบนั้น ข้าก็คงจะสุขสบายไปตลอดชีวิต”

 

ผู้คนในลานกว้างมองไปที่โอเวอร์แบริ่งบั๊กด้วยความอิจฉา พวกเขาไม่ได้รู้สึกสงสารหานเซิ่น

 

ในมุมมองของพวกเขา หานเซิ่นก็เป็นแค่คนมาจากภูเขาที่กล้ามาดูหมิ่นเทพสปิริตและยังล่วงเกินคนอย่างซือป๋อ นั่นไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย

 

มิสเตอร์หยางตื่นตระหนก แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ เขาได้แต่รู้สึกร้อนรนและเป็นกังวล

 

ซือป๋อมองไปที่หานเซิ่นอย่างอวดดี “ตอนนี้เจ้าพร้อมจะคุกเข่าแล้วหรือยัง? หรือว่าเจ้าต้องการจะเป็นอาหารของโอเวอร์แบริ่งบั๊กจริงๆ?”

 

“ข้าแค่ต้องการจากไป” หานเซิ่นพูดและเดินผ่านโอเวอร์แบริ่งบั๊กเพื่อจะออกไปจากวิหาร

 

“เจ้ากล้าดียังไง!” ซือป๋อโกรธ

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับหน้าที่เป็นคนรับผิดชอบพิธีเปิดโลหิตชีพจร เขาจึงไม่ต้องการจะฆ่าใครคนไหน แต่ใครจะรู้ว่าหานเซิ่นจะหัวแข็งถึงขนาดนี้ มันทำให้ซือป๋อไม่สนใจอะไรอีกต่อไป

 

โอเวอร์แบริ่งบั๊กกรีดร้อง ปากของมันเต็มไปด้วยฟันที่แหลมคม มันตรงเข้าไปหาหานเซิ่น

 

ซือป๋อยืนกอดอกขณะที่มองไปที่หานเซิ่นด้วยสายตาเย็นชา เขาเตรียมตัวที่จะได้เห็นหานเซิ่นถูกฉีกเป็นชิ้นๆโดยโอเวอร์แบริ่งบั๊ก

 

พีชฟูลขมวดคิ้วขณะที่มองดูสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เข้าใจว่าหานเซิ่นพยายามจะทำอะไรกันแน่ ในสายตาของเธอ มันดูเหมือนว่าเขาหาเรื่องใส่ตัว

 

ไม่ว่าจะในอาณาจักรไหนๆ การคุกเข่าต่อเทพสปิริตถือเป็นธรรมเนียมพื้นฐานที่ต้องทำ แต่หานเซิ่นกลับเข้าไปในวิหารพระเจ้าโดยที่ไม่คิดจะคุกเข่าต่อหน้าเทพสปิริต มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ซือป๋อจะโกรธ

 

“ก็ดี แบบนี้เราจะได้เห็นพลังของเขา” พีชฟูลคิด

 

เมื่อเห็นโอเวอร์แบริ่งบั๊กกำลังจะกินหานเซิ่น แต่หานเซิ่นไม่ได้เรียกยีนเรซออกมา เขายกหมัดขึ้นและชกใส่หัวของโอเวอร์แบริ่งบั๊ก

 

พีชฟูลอึ้งไป ซือป๋อเองก็มองหานเซิ่นราวกับว่าเขากำลังมองคนที่โง่เง่า

 

อีกฝ่ายไม่ได้ใช้ยีนเรซหรือโลหิตชีพจรเทพสปิริต ทุกคนคิดว่าถ้าหานเซิ่นบ้าไปแล้วที่คิดจะใช้แค่พลังทางกายภาพเพื่อต่อสู้กับยีนเรซอย่างโอเวอร์แบริ่งบั๊ก

 

แต่ในตอนที่หมัดของหานเซิ่นปะทะเข้าที่หัวของโอเวอร์แบริ่งบั๊ก ทุกคนก็อ้าปากค้างไป

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset