พละกำลังของหานเซิ่นไม่ใช่บางสิ่งที่มิสเตอร์หยางจะเทียบได้ ถึงหานเซิ่นจะพยายามควบคุมพละกำลังของตัวเอง แต่เขาก็ขุดรวดเร็วเหมือนกับเครื่องจักร ในเวลาอันสั้นหานเซิ่นใช้พลั่วขนาดเล็กขุดร่องให้ของเหลวสีม่วงไหลออกมา
มันเป็นอะไรที่น่าแปลก หานเซิ่นไม่รู้ว่าของเหลวสีม่วงนั่นคืออะไร แต่หลังจากที่มันไหลออกมา มันก็จะระเหยไปในทันที มีควันโขมงขึ้นรอบๆบริเวณที่หานเซิ่นขุด ก่อนที่มันจะถูกปัดเป่าไปโดยสายลม
มิสเตอร์หยางไม่กล้าเข้าไปใกล้ และเขาก็ไม่กล้าหนีไปเช่นกัน เขาหยุดดูอยู่จากระยะไกล เขาได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นกับหานเซิ่น มันไม่ใช่ว่าเขาเป็นห่วงหานเซิ่น แต่ถ้าไม่มีหานเซิ่น เขาก็จะตกอยู่ในอันตราย มันมีโอกาสสูงที่พีชฟูลจะยังตามหาตัวเขา และซือป๋อเองก็อาจจะไม่ยกโทษให้เขาเช่นกัน
“นี่ชาติก่อนเราทำความผิดอะไรเอาไว้ เราถึงได้พบกับสิ่งที่อันตรายแบบนี้?” มิสเตอร์หยางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
หานเซิ่นขุดให้ของเหลวสีม่วงไหลออกมา แต่น้ำพุสีม่วงยังคงพุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่องๆ มันไม่ได้ชะลอลงเลยแม้แต่น้อย เขาจำเป็นต้องกระโดดลงไปในน้ำเพื่อขุดต่อ
มิสเตอร์หยางมองดูหานเซิ่นกระโดดลงไปในน้ำพุด้วยสีหน้าย่ำแย่ ดวงตาของเขากระตุกขณะที่เขาพูดกับตัวเอง “รนหาที่ตาย… เจ้านี่กำลังรนหาที่ตาย…”
ตอนนี้หานเซิ่นยืนอยู่ในน้ำพุ เขารู้สึกว่าน้ำพุสีม่วงนั้นค่อนข้างเย็น มันเหมือนกับว่าเขาถูกกับแอลกอฮอล์
แต่ของเหลวสีม่วงนี้ระเหยรวดเร็วกว่าแอลกอฮอล์ ด้วยเหตุนั้นถึงมันจะพุ่งขึ้นมาจากพื้นเรื่อยๆ มันก็ไม่ได้ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น มันไม่ได้ท่วมเข่าของหานเซิ่นด้วยซ้ำ
หานเซิ่นเห็นว่ามิสเตอร์หยางยังคงไม่ได้จากไป เขาจึงตะโกนถามขึ้นว่า “มิสเตอร์หยาง ไข่ยีนอยู่ลึกแค่ไหนอย่างนั้นหรอ?”
ก่อนหน้านี้มิสเตอร์หยางบอกว่าไข่ยีนที่ยังไม่ฝักนั้นจะบอบบางมากๆ หานเซิ่นจึงกังวลว่าถ้าเขาขุดเร็วเกินไป เขาอาจจะไปทำให้ไข่ยีนแตก
ตาของมิสเตอร์หยางกระตุก เขาตอบกลับไปว่า “จากการคาดเดาของข้าก่อนหน้านี้ มันควรจะลึกลงไปอีกแค่ครึ่งฟุตเท่านั้น แต่ในเมื่อมันมีน้ำพุสปิริตอีวิลอยู่ข้างล่างนั่น การคาดเดาของข้าก็คงจะไม่ถูกต้อง มันจึงยากที่จะคำนวณความลึกของไข่ยีนได้ แต่น่าจะลึกเกินกว่าเก้าฟุต”
หลังจากที่ได้ยินมิสเตอร์หยางพูด หานเซิ่นก็ใช้พลั่วแทงลงไปในพื้นดินใต้น้ำพุ พลังที่น่ากลัวถูกส่งลงไปและก่อให้เกิดรูที่ลึกเก้าฟุตพอดิบพอดี ถึงหานเซิ่นจะไม่ได้ใช้ออร่าตงเสวียนเพื่อสแกนสิ่งที่อยู่ข้างล่าง แต่เขาก็ยังคงมีพลังที่จะควบคุมสิ่งต่างๆและขุดรูในพื้นที่ลึกเก้าฟุตได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
ในตอนที่เขาขุดลึกลงไป น้ำพุอีวิลสปิริตที่เคยมีขนาดๆพอกับแขนของทารกก็ระเบิดออกเหมือนกับภูเขาไฟที่ปะทุ มันพุ่งขึ้นสูงกว่าสามสิบฟุต ทำให้หานเซิ่นเปียกไปทั้งตัว
มิสเตอร์หยางเห็นว่าในน้ำพุที่พุ่งขึ้นมานั้นมีเงาสีม่วงที่เบลอๆลอยขึ้นมา มันดูเหมือนกับอสูรยักษ์ที่น่ากลัว เงาของอสูรยักษ์นั่นคำรามและเปลี่ยนเป็นลมปราณสีม่วงที่ลอยหายไปในท้องฟ้า มันย้อมท้องฟ้าด้วยสีม่วง ซึ่งทำให้เหมือนกับท้องฟ้ายามค้ำคืน
“นี่มัน… นี่มัน… ปรากฏการณ์ชีพจรพระเจ้าประหลาด… แอนเชี่ยนท์อีวิลบีสต์…”
มิสเตอร์หยางตกใจจนล้มลงไป ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับว่าเขากำลังเห็นผี
หานเซิ่นเองก็เห็นปรากฏการณ์ประหลาดตรงหน้าและได้ยินเสียงคำรามเช่นเดียวกัน แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
การระเบิดของน้ำพุสปิริตอีวิลก่อนหน้านี้ เหมือนกับการปลดปล่อยของเหลวสีม่วงทั้งหมดออกมา ตอนนี้มันไม่มีของเหลวพุ่งขึ้นมาอีกแล้ว และของเหลาสีม่วงที่พุ่งออกมาก่อนหน้านี้ก็ระเหยไปอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่วินาทีมันไม่เหลือของเหลวสีม่วงอยู่บนพื้นแม้แต่นิดเดียว มันยังคงมีลมปราณสีม่วงอยู่รอบๆตัวของเขา แต่หลังจากที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงมา พวกมันก็จางหายไป
หานเซิ่นขุดลึกลงไปอีกสามฟุตก่อนที่จะเขาสัมผัสกับอะไรบางอย่าง เขารู้สึกดีใจและคิดกับตัวเอง ‘บางทีเราอาจจะพบมันแล้ว!’
หานเซิ่นรีบใช้มือขุดลงไปในพื้นดิน และวัตถุโลหะสีดำก็ปรากฏออกมาให้เห็น เขาคิดว่ามันคงจะเป็นไข่ยีน แต่หลังจากที่ขุดไปเรื่อยๆ เขาก็พบว่ามันไม่ใช่ไข่ยีน
“สิ่งนี้คืออะไรกัน?” หานเซิ่นรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่ขุดขึ้นมาได้
ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับไข่ยีน แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่มีทางเป็นไข่ยีนไปได้ มันมีไข่ประเภทไหนที่เป็นเหมือนกับแท่งขนาดใหญ่
สิ่งที่หานเซิ่นขุดเจอคือเสาโลหะสีดำ ด้านบนของเสามีขนาดพอๆกับถ้วนชาม เขาขุดลึกลงไปอีกสามฟุต แต่มันก็ยังคงมีส่วนของเสาโลหะที่จมอยู่ในพื้นดิน เขาไม่รู้ว่ามันยาวขนาดไหนกันแน่
ส่วนของเสาที่แสดงออกมาให้เห็นนั้นมีสีดำ และมันมีรอยแกะสลักของภาษาและสัญลักษณ์ที่หานเซิ่นไม่เข้าใจ มันดูเหมือนกับท่อเหล็กที่เต็มไปด้วยรอยแกะสลัก
หานเซิ่นหันไปหามิสเตอร์หยางและพูด “มิสเตอร์หยาง มาดูนี่เร็วเข้า ทำไมข้าถึงขุดเจอท่อเหล็กจากชีพจรพระเจ้า?”
มิสเตอร์หยางดูจะหวาดกลัว เมื่อเขาได้ยินที่หานเซิ่นพูด เขาลุกขึ้นมาจากพื้นและเดินเข้ามาใกล้ เขาโค้งตัวลงไปมองในรูที่หานเซิ่นขุด
หลังจากนั้นใบหน้าของมิสเตอร์หยางก็ดูซีดเผือกยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนกับว่าวิญญาณของเขาหลุดออกจากร่าง เขาพึมพำกับตัวเอง
“มันจบสิ้นแล้ว ทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว… พวกเราจะประสบกับหายนะครั้งใหญ่…”
“ดูเหมือนเจ้าจะรู้สินะว่าสิ่งนี้คืออะไร ในเมื่อข้าขุดมันขึ้นมาได้ ทำไมเจ้าไม่บอกข้ามาว่าสิ่งนี้คืออะไร?” หานเซิ่นดูจะสนในของสิ่งนี้มาก
หานเซิ่นเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่มาถึงจุดนี้ได้ ยิ่งมิสเตอร์หยางมีท่าทางเหมือนกับว่าท้องฟ้าจะตกลงมาใส่เขา มันก็ทำให้หานเซิ่นอยากรู้มากขึ้น เขาต้องการจะรู้ได้ให้ว่าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่
“ทั้งหมดมันเป็นเพราะข้าไม่รู้ว่ามันมีน้ำพุสปิริตอีวิลอยู่ที่นี่ ที่นี่มีสิ่งที่จะสะกดชีพจร พวกเราจะประสบกับความโชคร้ายแปดชั่วโคตร ถ้าข้ารู้ว่ามันมีสิ่งสะกดชีพจรอยู่ ข้าก็คงจะไม่พยายามขุดหาไข่ยีนที่นี่” มิสเตอร์หยางรู้สึกเสียใจ
“มิสเตอร์หยาง ถ้าเจ้ายังเอาแต่พูดแบบนั้น ข้าจะเอาท่อเหล็กแทงใส่ร่างกายของเจ้า” หานเซิ่นมองมิสเตอร์หยางด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร
หานเซิ่นไม่ชอบคนที่กลัวจนเกินเหตุและพูดจาอะไรแบบนั้น
เมื่อเห็นสายตาที่เย็นชาของหานเซิ่น มิสเตอร์หยางก็รู้สึกหนาวขึ้นมา
“นายท่านอย่าเพิ่งโกรธ ข้าแค่ตกใจไปหน่อยเท่านั้นเอง ท่อเหล็กนี้ควรจะเป็นสิ่งสะกดชีพจร ซึ่งผู้คนในอดีตมักจะใช้มันเพื่อสะกดชีพจรในผืนดิน”
“ทำไมพวกเขาต้องสะกดชีพจรของผืนดิน?” เมื่อเห็นว่าในที่สุดมิสเตอร์หยางก็พูดรู้เรื่อง สีหน้าของหานเซิ่นก็ดูเป็นมิตรขึ้น
มิสเตอร์หยางถอนหายใจและพูดต่อ “ชีพจรของผืนดินบริเวณนี้มียีนเรซที่ชั่วร้ายมากๆอยู่ ในตอนที่ผู้คนในอดีตมาพบเข้า มันก็แน่นอนว่าพวกเขาไม่ต้องการให้ยีนเรซที่อยู่ภายในนั้นมีโอกาสได้กำเนิดขึ้นมา แต่เนื่องจากพวกเขาไม่มีพลังพอจะทำลายมัน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้สิ่งของเพื่อสะกดชีพจรในผืนดินเอาไว้ และทำให้แน่ใจว่าไม่มีใครคนไหนมาทำให้ยีนเรซกำเนิดขึ้นมาได้”