Super God Gene – ตอนที่ 3057 คริสตัลสีดำ

หานเซิ่นรู้สึกคุ้นเคยกับรอยแกะสลักหนึ่งที่อยู่บนกำแพงมากๆ

 

ซึ่งรอยแกะสลักนั้นเป็นรูปของไข่ มันดูเหมือนกับไข่ของนกพิราบที่มีดาวนับพันลอยอยู่ภายใน ดูเหมือนกับว่ามีจักรวาลน้อยๆอยู่ภายในนั้น

 

ถึงแม้มันจะเป็นแค่รอยแกะสลักที่ดูเรียบง่าย แต่หานเซิ่นคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ในตอนที่อยู่ในก็อตแซงชัวรี่เขต 1 เขาได้ฆ่าด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์และได้รับคริสตัลสีดำปริศนามา รูปร่างและขนาดของมันเหมือนกับสิ่งที่ถูกสลักไว้บนกำแพงไม่มีผิด

 

ในภายหลังหานเซิ่นได้กลืนคริสตัลสีดำเข้าไป และมันก็ได้กลายเป็นชุดเกราะคริสตัลสีดำภายในทะเลของเขา มันเป็นชุดเกราะคริสตัลสีดำที่ดึงเขาเข้ามาในโลกนี้

 

ตอนนี้เมื่อเขาเห็นรอยแกะสลักที่คล้ายคลึงกับคริสตัลสีดำมากๆอยู่บนกำแพง มันก็ทำให้เขาตกตะลึง

 

“นี่มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือว่ามันมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่?” ความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาในหัวของหานเซิ่น

 

ชุดเกราะคริสตัลสีดำดึงเขาเข้ามาในโลกแห่งนี้ หลังจากนั้นเขาก็กำเนิดออกมาจากไข่ที่อยู่ในภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต รอยแกะสลักของคริสตัลสีดำก็ถูกสลักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งภายในภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อตเช่นเดียวกัน

 

หานเซิ่นตรวจเช็ครอยแกะสลักบนกำแพงอย่างละเอียด และเขาก็ค้นพบว่ารอยแกะสลักนั้นดูเหมือนกับรอยแกะสลักของเหล่ามนุษย์ที่กำลังทำพิธีกรรมบางอย่างอยู่

 

พิธีกรรมนั้นไม่ได้มีเทพเจ้า ราชาหรือใครบางคนที่จำเป็นต้องบูชา แต่พวกเขากำลังคุกเข่าต่อคริสตัลสีดำ

 

“ดูเหมือนว่ารอยแกะสลักนี้จะแสดงถึงพิธีกรรมบางอย่าง แต่มันเป็นอะไรที่แปลก” โกสต์คิลล์พูดขึ้นมา

“เท่าที่ข้ารู้ทั้งเจ็ดอาณาจักรต่างก็ศรัทธาในเทพสปิริต พวกเขาจะบูชาแค่เทพสปิริตเท่านั้น แต่สิ่งที่พวกเขากำลังบูชานั้นดูเหมือนกับไข่ยีน ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอาณาจักรที่เคารพบูชาไข่ยีนมาก่อน”

 

“ถ้าเจ้าไม่รู้ ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน” หานเซิ่นพูด ขณะที่ภายในของเขากำลังคิดไปว่า ‘คริสตัลสีดำจริงๆแล้วคือไข่ยีนอย่างนั้นหรอ? มันมียีนเรซอยู่ภายในชุดเกราะคริสตัลสีดำนั่น?’

 

หลังจากที่ลองคิดแบบนั้น หานเซิ่นคิดว่ามันดูไม่ถูกเท่าไหร่ ถ้าคริสตัลสีดำเป็นไข่ยีนจริงๆ มันไปอยู่ในก็อตแซงชัวรี่เขต 1 ได้ยังไง แถมพลังของยีนเรซก็แตกต่างไปจากพลังของจักรวาลจีโน ถ้าคริสตัลสีดำเป็นไข่ยีนจริงๆ มันก็ควรจะถูกปฏิเสธโดยกฎของจักรวาลจีโน

 

แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่เพียงแค่คริสตัลสีดำจะไม่ถูกปฏิเสธโดยจักรวาลจีโน มันยังทำให้สิ่งมีชีวิตในจักรวาลจีโนวิวัฒนาการได้อีกด้วย

 

ทั้งสองคนเดินไปเรื่อยๆพร้อมกับสังเกตรอยแกะลสักบนกำแพง มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังรับชมภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ทอดยาวออกไป รอยแกะสลักนั้นดูเหมือนจะแสดงถึงกระบวนการของพิธีกรรมตั้งแต่ต้นจนจบ

 

รอยแกะสลักแรกๆแสดงภาพของมนุษย์นับไม่ถ้วนที่คุกเข่าลงและสวดภาวณาต่อคริสตัลสีดำ หลังจากนั้นพวกเขาก็สังเวยเลือดของตัวเองแก่คริสตัลสีดำ

 

รอยแกะสลักต่อๆไปนั้นแปลกยิ่งกว่าเดิม มันแสดงภาพของคนที่ดูเหมือนกับผู้นำพิธี เขาโยนคริสตัลสีดำลงไปในสิ่งที่ดูเหมือนกับปล่องของภูเขาไฟ

 

รอยแกะสลักต่อมาเป็นภาพควันที่ลอยขึ้นมาจากปล่องภูเขาไฟ ผู้คนสวดภาวนาต่อควันนั้น

 

หานเซิ่นและโกสต์คิลล์ต่างก็อยากรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงรีบเดินไปข้างหน้า ในตอนที่พวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป พวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

 

รอยแกะสลักใกล้กับตอนจบนั้นแสดงภาพของคนนอกที่ตกลงมาจากท้องฟ้าและเข้าไปในปล่องภูเขาไฟ รอยแกะสลักต่อมาคนนอกคนหนึ่งถือคริสตัลสีดำและหนีออกมาจากปล่องภูเขาไฟ

 

ในรอยแกะสลักสุดท้ายแสดงภาพของผู้คนมากมายที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างเกรี้ยวโกรธ หลังจากนั้นมันก็ไม่มีรอยแกะสลักอะไรอีก รอยแกะสลักบนกำแพงจบลงเพียงเท่านี้

 

ภาพทั้งหมดที่รอยแกะสลักบรรยายนั้นไม่ค่อยชัดเจน มันบอกได้ยากว่าผู้แกะสลักนั้นพยายามจะบอกอะไร มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าคนที่ขโมยคริสตัลสีดำไปนั้นคือใครกันแน่ แต่หานเซิ่นอดไม่ได้ที่จะคิดว่าคนๆนั้นคือฉินซิว

 

แต่นั่นเป็นแค่ความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของหานเซิ่นเท่านั้น มันไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าคนที่ขโมยคริสตัลสีดำไปคือฉินซิวจริงๆ

 

“เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวแบบนี้มาก่อนไหม?”

หานเซิ่นไม่คุ้นเคยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ ดังนั้นเขาจึงหันไปถามโกสต์คิลล์โดยหวังว่าเธอจะพอรู้อะไรบางอย่าง

 

โกสต์คิลล์เงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้มาก่อน บางทีเหล่ามนุษย์ที่บูชาไข่ยีนนั้นอาจจะเป็นมนุษย์จากอาณาจักรเล็กๆ ในอดีตกาลมันมีอาณาจักรขนาดเล็กอยู่มากมาย ซึ่งแตกต่างจากตอนนี้ที่จักรวาลถูกปกครองโดยอาณาจักรขนาดใหญ่เจ็ดอาณาจักร บางทีรอยแกะสลักบนกำแพงนี้อาจจะบอกถึงเรื่องราวของอาณาจักรในสมัยโบราณที่ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว”

 

หานเซิ่นพยักหน้า เขามองไปข้างหน้าและเห็นว่ามันไม่มีรอยแกะสลักอีกแล้ว แต่ข้างหน้านั้นมีบันไดหินที่พาลงไปด้านล่าง มันเป็นบันไดเกลียวที่ทอดยาวลงไป พวกเขามองหน้ากันก่อนที่จะพากันเดินลงบันไดหินไป

 

ทั้งหานเซิ่นและโกสต์คิลล์ต่างก็รู้สึกสนใจที่แห่งนี้อย่างมาก พวกเขาอยากรู้ว่าใครกันที่มาสลักภาพพวกนี้เอาไว้ในภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต

 

“เท่าที่ข้ารู้ โลนสกายดราก้อนนั้นเป็นยีนเรซระดับเทพเจ้าที่หายากมากๆ” โกสต์คิลล์พูดขณะที่เดินลงบันไดไป

“ตำนานเกี่ยวกับการปรากฏตัวของโลนสกายดราก้อนนั้นมีไม่กี่ครั้ง และที่โด่งดังที่สุดก็คือโลนสกายดราก้อนที่เป็นของโมหลี่ ถ้าลิงขนม่วงนั่นคือบลัดโกสต์สปิริตจริงๆ โลนสกายดราก้อนก่อนหน้านี้ก็คงจะเป็นตัวเดียวกันกับที่โมหลี่เคยเป็นเจ้าของ”

 

หานเซิ่นไม่ลังเลที่จะถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังสงสัย “แต่ถ้าโมหลี่ถูกฆ่าตายในพระราชวังของอาณาจักรเว่ย ยีนเรซของเขาก็ควรจะตายไปพร้อมกับเขา พวกมันมาปรากฎตัวที่นี่ได้ยังไงกัน?”

 

“ข้าไม่รู้ ถ้าพวกมันไม่ใช่ยีนเรซของโมหลี่ โลนสกายดราก้อนและบลัดโกสต์สปิริตจะมาปรากฏตัวพร้อมกันได้ยังไง? ถ้าถามข้า ข้าก็คิดว่ามันดูเป็นเรื่องที่บังเอิญเกินไป” โกสต์คิลล์พูด

 

“พวกเรายังยืนยันไม่ได้ว่าลิงขนม่วงตัวนั้นคือบลัดโกสต์สปิริตจริงๆ บางทีมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้” หานเซิ่นพูด

 

“เจ้าพูดถูก” โกสต์คิลล์พยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก

 

พวกเขาทั้งสองเดินลงบันไดหินไปเรื่อยๆ พวกเขาเดินลงไปหลายร้อยฟุตก่อนที่พวกเขาจะมาถึงที่ปลายบันได และตรงหน้าพวกเขาก็คือประตูหิน

 

ขณะที่โกสต์คิลล์ตรวจเช็คมัน เธอก็ค้นพบว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับประตูหิน เธอพยายามจะดันประตู แต่ประตูหินนั้นไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว

 

“ให้ข้าลองดู” หานเซิ่นใช้เสาโลหะในมือทุบใส่ประตูหิน ด้วยพละกำลังของหานเซิ่น ทำให้ประตูหินแตกกระจายด้วยการทุบเพียงไม่กี่ครั้ง

 

พวกเขาทั้งสองมองผ่านประตูหินเข้าไป และสิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือห้องโถงเก่าๆที่ดูเหมือนกับห้องโถงของปราสาท บนกำแพงของห้องโถงมีรอยแกะสลักอยู่เช่นเดียวกัน

 

ที่ใจกลางของห้องโถงมีเตาหินที่สูงเก้าฟุตตั้งอยู่ ไฟสีเขียวกำลังลุกโชนจากภายในของมัน ซึ่งทำให้ทั้งห้องโถงสว่างไสว

 

พวกเขาทั้งสองเข้าไปในห้องโถงด้วยความระมัดระวัง พวกเขามองไปที่เตาหินและเห็นว่าข้างๆเตาหินนั้นมีโครงกระดูกห้อยกลับหัวกลับหางอยู่ โครงกระดูกผุกร่อนเหมือนกับว่าเจ้าของโครงกระดูกได้ตายไปนานแล้ว

 

หานเซิ่นไม่เห็นความพิเศษอะไรเกี่ยวกับโครงกระดูก ดังนั้นเขาจึงหันไปมองที่รอยแกะสลักบนกำแพง และสิ่งที่เห็นก็ทำให้เขาตกใจอย่างมาก

 

บนกำแพงก่อนหน้านี้ไม่มีข้อความอะไรเขียวเอาไว้ พวกมันทั้งหมดเป็นเพียงแค่รูปภาพเท่านั้น แต่บนกำแพงภายในห้องโถงนั้นเป็นตัวอักษรทั้งหมด และหานเซิ่นก็เข้าใจมัน ที่ด้านบนสุดมันอ่านได้ว่า “เรื่องราวของยีน”

 

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset