บลัดโกสต์สปิริตที่ตอนนี้ร่างกายดูเหมือนกับผี พุ่งเข้ามาหาโกสต์คิลล์ ความเร็วของมันสูงกว่าเดิมมาก โกสต์คิลล์นั้นเห็นเพียงแค่เงาสีม่วงเบลอๆ เธอมองตามการเคลื่อนไหวของมันไม่ทัน
โกสต์คิลล์เปลี่ยนเป็นควันสีดำเพื่อหลบหลีก แต่หานเซิ่นยังคงได้ยินเสียงข่วน และในตอนที่ควันสีดำกลับกลายเป็นโกสต์คิลล์อีกครั้ง บริเวณท้องของเธอก็มีรอยข่วนหลายรอยที่กำลังมีเลือดไหลออกมา
“รีบหนีไปเร็วเข้า!” สีหน้าของโกสต์คิลล์เปลี่ยนไป ขณะที่เธอตะโกนบอกหานเซิ่น เธอเปลี่ยนเป็นควันสีดำอีกครั้งและเตรียมตัวที่จะหนีไปเช่นกัน
แต่บลัดโกสต์สปิริตไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ มันคลายเป็นเงาสีม่วงที่แว็บไปดักหน้าควันสีดำ ในตอนที่ควันสีดำเคลื่อนผ่านไป ควันสีดำก็กลับกลายเป็นโกสต์คิลล์อีกครั้ง และบนหลังของเธอก็มีรอยข่วนเพิ่มอีกหลายรอย
สีหน้าของโกสต์คิลล์ดูย่ำแย่ ถึงแม้เธอจะเคยได้ยินเกี่ยวกับความน่ากลัวของบลัดโกสต์สปิริตมาบ้าง แต่เธอก็ไม่ได้คาดคิดว่าบลัดโกสต์สปิริตตัวจริงจะน่ากลัวถึงขนาดนี้
ก่อนหน้านี้ในตอนที่เธอได้เห็นพลังของลิงขนม่วงและโลนสกายดราก้อน เธอเชื่อว่าสามารถปกป้องตัวเองจากพวกมันได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เธอตามหานเซิ่นมา
ตอนนี้เธอเริ่มจะเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง แต่ใครจะไปคาดคิดว่าบลัดโกสต์สปิริตนั้นจะน่ากลัวยิ่งกว่าโลนสกายดราก้อนซะอีก ทุกคนต่างเชื่อว่ายีนเรซที่โมหลี่ใช้เพื่อสังหารราชาเว่ยนั้นคือโลนสกายดราก้อน แต่มันควรจะเป็นบลัดโกสต์สปิริตมากกว่า
“ดูเหมือนว่าเราจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน” โกสต์คิลล์รู้ว่าการจะต่อกรกับบลัดโกสต์สปิริตนั้น เธอจะพึ่งพาแค่ยีนเรซโกสต์สโมคบีสต์ไม่ได้ เธอจำเป็นต้องรวมร่างกับอีกยีนเรซหนึ่ง ถ้าเธอต้องการจะมีชีวิตรอด
แต่ถ้าเธอทำแบบนั้น แผนการที่จะใกล้ชิดกับหานเซิ่นก็คงจะล้มเหลว ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่มีเวลามามัวกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น
หัวใจของโกสต์คิลล์เต้นรัว ในจังหวะที่เธอกำลังจะเรียกยีนเรซที่ดีที่สุดของเธอ ซึ่งก็คือเหยี่ยวบิ๊กสเปชธันเดอร์ก็อตออกมา จู่ๆเธอก็รู้สึกเวียนหัว ร่างกายของเธอรู้สึกอ่อนแรง เธอไม่สามารถเรียกเหยี่ยวบิ๊กสเปชธันเดอร์ก็อตออกมาได้
“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?” โกสต์คิลล์รู้สึกตกใจ เธอก้มลงมองบาดแผลของตัวเองและค้นพบว่าเลือดที่ไหลออกมานั้นเปลี่ยนเป็นสีม่วง ขณะที่เดียวกันก็มีลมปราณสีม่วงแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเธอ แม้แต่เครื่องหมายโลหิตชีพจรเทพสปิริตบนหน้าผากของเธอก็ปนเปื้อนด้วยลมปราณสีม่วงนั้น มันทำให้เธอไม่สามารถเรียกยีนเรซออกมาเพื่อรวมร่างด้วยได้
แต่กว่าที่โกสต์คิลล์จะรู้สึกตัวถึงเรื่องนี้ มันก็สายเกินไปแล้ว เธอไม่ได้รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับบลัดโกสต์สปิริต มันมีตำนานเกี่ยวกับบลัดโกสต์สปิริตอยู่ไม่มาก และตำนวนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับพลังของมันเอาไว้ ถ้าเธอรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เธอก็คงจะไม่รอจนกระทั่งถึงตอนนี้ ก่อนที่จะคิดเรียกยีนเรซที่เก่งที่สุดออกมา
บลัดโกสต์สปิริตกระโดดเข้ามาหาเธออีกครั้ง เห็นได้ชัดว่ามันต้องการจะฆ่าเธอก่อนที่จะไปจัดการกับหานเซิ่น
หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาแกว่งเสาโลหะในมือออกไปใส่บลัดโกสต์สปิริต บลัดโกสต์สปิริตหันมามองที่หานเซิ่นและส่งกรงเล็บของมันเข้าปะทะกับเสาโลหะที่ฟาดเข้ามา หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงพลังที่ผ่านเสาโลหะมาถึงร่างกายของเขา มันทำให้เขากระเด็นออกไปชนเข้ากับกำแพงหินจนพังทลายลงมา
พวกเขาทั้งคู่ช่วยต่อสู้กับบลัดโกสต์สปิริต แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านโกสต์คิลล์นั้นกำลังตกที่นั่งลำบาก เธอได้รับบาดแผลมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ลมปราณสีม่วงภายในร่างกายของเธอหนาขึ้นกว่าเดิม เธอคงจะมีชีวิตรอดได้อีกไม่นาน
ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ร่างกายของเขาก็ถูกปฏิเสธโดยกฎของโลกใบนี้ เขาไม่สามารถใช้พลังทั้งหมดของตัวเองได้ เขาทำได้แค่ทนรับการโจมตีด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งเท่านั้น
“เราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เราคงต้องฝืนใช้พลังและฝ่าฝืนกฎของโลกใบนี้” หานเซิ่นระเบิดพลังขออกมา เขากำลังต่อต้านกฎของโลกใบนี้
หานเซิ่นจำเป็นต้องทำลายกฎของโลกนี้ที่จำกัดพลังของเขาซะก่อน เขาถึงจะใช้พลังที่แท้จริงของเขาได้ แต่การทำแบบนั้นจะทำให้เขาจะสูญเสียพลังงานเป็นจำนวนมาก เขาจึงไม่สามารถต่อต้านพลังของโลกใบนี้ได้เป็นระยะเวลานาน
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นด้วยการที่เขาเป็นคนนอกของโลกใบนี้เช่นเดียวกับที่ฉินซิวเป็นคนนอกของจักรวาลจีโน การทำแบบนั้นจะทำให้หานเซิ่นตกเป็นเป้าของเทพสปิริตที่นี่
ก่อนหน้านี้ด้วยการที่หานเซิ่นมียีนของฉินซิวอยู่ในตัว ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อย มันก็ทำให้เขาไม่ได้ถูกปฏิเสธโดยโลกใบนี้โดยสมบูรณ์ ด้วยเหตุนั้นถ้าเขาไม่ได้ก่อเรื่องใหญ่อะไร มันก็ยากที่เทพสปิริตจะรู้ถึงการมีอยู่ของเขา
แต่การฝืนทำลายกฎของโลกนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ หานเซิ่นไม่รู้ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหลังจากการทำแบบนี้ ถ้าเทพสปิริตรู้ถึงการมีอยู่ของหานเซิ่น เขาก็ไม่รู้ว่าเทพสปิริตของที่นี่จะปฏิบัติกับเขาเหมือนกับที่เทพสปิริตของจักรวาลจีโนปฏิบัติกับฉินซิวหรือเปล่า
ถ้าเทพสปิริตทั้งหมดกลายเป็นศัตรู หานเซิ่นก็จะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับฉินซิวในอดีต
แต่ตอนนี้หานเซิ่นไม่มีทางเลือกอื่น มีเพียงแค่การทำลายกฎของโลกใบนี้ที่จำกัดพลังของเขาเท่านั้น เขาถึงจะจัดการกับบลัดโกสต์สปิริตได้
พลังภายในร่างกายของหานเซิ่นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันพลังกฎของโลกใบนี้ก็รุนแรงขึ้นตามไปด้วย มันพยายามจะจำกัดพลังที่หานเซิ่นสามารถใช้งาน
หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ภายใต้แรงกดดันของมหาสมุทรที่ลึกลงไปกว่าสามหมื่นฟุต ถึงแม้เขาจะชกออกไปโดยใช้พลังเต็มที่ ในตอนที่พลังของเขาผ่านแรงกดดันนั้นไป มันก็แทบจะไม่เหลือพลังอยู่ ด้วยเหตุนั้นเขาจำเป็นต้องทำลายกฎของโลกใบนี้ที่กำจัดพลังของเขาเอาไว้
ในโลกนี้หานเซิ่นสามารถใช้ได้เพียงแค่วิชาจีโนเดียว ซึ่งก็คือคัมภีร์นภาอำพัน เขาคาดเดาว่าที่คัมภีร์นภาอำพันสามารถใช้งานได้ปกติ นั่นเป็นเพราะว่าเดิมทีมันเป็นของโลกใบนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หานเซิ่นเชื่อว่าโลกที่เขาอยู่ในตอนนี้คือโลกปฏิสสาร
แต่ถึงคัมภีร์นภาอำพันจะใช้งานได้ แต่ร่างกายของเขาก็ยังถูกจำกัด ด้วยเหตุนั้นการใช้คัมภีร์นภาอำพันจึงไม่มีประโยชน์อะไร จนกว่าเขาจะทำลายกฎของโลกใบนี้ที่จำกัดพลังของเขาเอาไว้ได้
ขณะที่คัมภีร์นภาอำพันเริ่มทำงาน เครื่องหมายสีแดงประหลาดก็เรืองแสงขึ้นบนผิวของหานเซิ่น มันกำลังสว่างขึ้นเรื่อยๆ เลือดในร่างกายของของเขาเริ่มเดือดปุดๆ
โกสต์คิลล์พยายามอย่างเต็มที่ที่จะต่อสู้กับบลัดโกสต์สปิริต แต่เธอไม่สามารถต่อกรกับมันได้ ตอนนี้ผิวหนังของเธอถูกปกคลุมไปด้วยลมปราณสีม่วง และแม้แต่เครื่องหมายโลหิตชีพจรเทพสปิริตบนหน้าผากของเธอก็ถูกครอบงำโดยลมปราณสีม่วง มันไม่มีแสงแห่งเทพแม้แต่นิดเดียวให้เห็น
โกสต์คิลล์กำลังสิ้นหวัง เธอรู้ตัวว่าครั้งนี้คงจะไม่รอด ตามร่างกายของเธอเต็มไปด้วยรอยกรงเล็บที่ปกคลุมด้วยลมปราณสีม่วง แม้แต่ชุดสีดำของเธอก็ถูกย้อมเป็นสีม่วงเช่นกัน
บลัดโกสต์สปิริตกระโดดไปตรงหน้าโกสต์คิลล์ กรงเล็บของมันถูกยกขึ้นสูงและแทงลงมาใส่หัวของโกสต์คิลล์
โกสต์คิลล์นั้นไม่สามารถหลบหลีกการโจมตีได้อีกแล้ว เธอได้แต่มองดูกรงเล็บของบลัดโกสต์สปิริตที่แทงลงมา เธอรู้ตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าข้า หลี่ปิงหยู หนึ่งในเก้าผู้นำของพระราชวังเต๋าจะต้องตายอยู่ที่นี่”
หลี่ปิงหยูคร่ำครวญใจ เธอต้องการหลับตาลง แต่ทันใดนั้นที่ด้านหลังของบลัดโกสต์สปิริตมีเปลวเพลิงสีแดงระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนกับภูเขาไฟปะทุ มันทำให้ทั้งห้องโถงถูกย้อมเป็นสีแดง
เกือบจะในเวลาเดียวกัน หลี่ปิงหยูเห็นร่างกายที่ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีแดงเหมือนกับปีศาจที่จุติลงมาปรากฎที่ด้านหลังของบลัดโกสต์สปิริต