สุดท้ายฟางฉีหยวนก็ยอมมอบโฮลี่เหวินไวท์เดียร์ให้กับหานเซิ่น
ยีนเรซที่ถูกควบคุมแล้วนั้นสามารถถ่ายโอนระหว่างคนที่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริตได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่มีรับประกันว่ายีนเรซนั้นจะใช้งานได้
ถ้าโลหิตชีพจรเทพสปิริตเข้ากันกับยีนเรซไม่ได้ ถึงแม้คนๆนั้นจะมียีนเรซอยู่ เขาก็ไม่สามารถรวมร่างกับมันได้ ถ้าเขาพยายามผืนที่จะรวมร่าง มันก็อาจจะทำร้ายร่างกายของคนๆนั้น
หานเซิ่นลองใช้ทะเลจิตเพื่อรับโฮลี่เหวินไวท์เดียร์ที่ฟางฉีหยวนมอบให้กับเขา ผลลัพธ์ทำให้เขาต้องประหลาดใจ ทะเลจิตสามารถรับโฮลี่เหวินไวท์เดียร์ได้อย่างราบรื่น หลังจากนี้ผู้คนก็จะไม่สงสัยอีกต่อไปว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากต่างโลก
ในเวลาเดียวกันหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นในหัว
“คุณได้รับยีนเรซระดับเทพเจ้าโฮลี่เหวินไวท์เดียร์”
หานเซิ่นตรวจเช็คข้อมูลของโฮลี่เหวินไวท์เดียร์ และผลลัพธ์ก็ทำให้เขาต้องประหลาดใจอีกครั้ง
“โฮลี่เหวินไวท์เดียร์: ยีนเรซระดับเทพเจ้า (ร่างเต็มวัย)”
โฮลี่เหวินไวท์เดียร์ตัวนี้เป็นร่างเต็มวัย มันไม่ได้เป็นร่างสุดยอดอย่างที่มิสเตอร์หยางบอกกับเขา
แต่ยีนเรซระดับเทพเจ้าร่างเต็มวัยนั้นไม่ใช่สิ่งที่แย่อะไร หานเซิ่นสามารถใช้มันเป็นสัตว์ขี่เพื่อไปไหนมาไหนได้
แน่นอนว่าที่หานเซิ่นต้องการโฮลี่เหวินไวท์เดียร์นั้นไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาต้องการสัตว์ขี่เท่านั้น เขาแค่ไม่อยากจะฆ่าฟางฉีหยวนในตอนนี้ การเก็บฟางฉีหยวนเอาไว้จะมีประโยชน์ต่อเขา
“ตอนนี้ข้าไปได้แล้วใช่ไหม?” ฟางฉีหยวนกัดฟันขณะที่พูด ยีนเรซทั้งเจ็ดคือชีวิตของเขา ตอนนี้หานเซิ่นเอาพวกมันตัวหนึ่งไป เขาเกลียดเรื่องนั้นอย่างที่สุด
“แน่นอน นอกซะจากเจ้ายังอยากอยู่ต่อและรับประทานอาหารเย็นร่วมกับพวกเรา” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม
“แล้วอีวิลบลัดในตัวข้าล่ะ?” ฟางฉีหยวนถาม
“ข้าแค่บอกว่าจะไม่ฆ่าเจ้า” หานเซิ่นพูด
“ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะช่วยกำจัดอีวิลบลัดที่อยู่ในตัวเจ้าออกไป ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าช่วยในเรื่องนั้น เจ้าก็ต้องมอบยีนเรซหรือไข่ยีนที่มีระดับเดียวกันกับโฮลี่เหวินไวท์เดียร์ให้กับข้า”
“เจ้า…” ฟางฉีหยวนโมโหอย่างมาก แต่เขาไม่ได้พยายามขอให้หานเซิ่นเอาอีวิลบลัดออกไปจากตัวของเขาอีก
ฟางฉีหยวนไม่กล้าจะหันหลังให้กับหานเซิ่น เขาจ้องไปที่หานเซิ่นขณะที่ถอยหลังออกไป หลังจากที่เขาถอยออกไปได้ระยะหนึ่งแล้ว เขาถึงเริ่มวิ่งหนีราวกับคนบ้า
เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นไม่ได้ไล่ตามมา ฟางฉีหยวนก็รู้สึกโล่งใจ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก
“เขาไม่ใช่ยอดฝีมือที่ถูกอาณาจักรฉินส่งตัวมาเพื่อปกป้องเจียงปู้กู่อย่างนั้นหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เราก็ควรไปขอซื้อเจียงปู้กู่ดีๆ ถ้าเราทำแบบนั้น เรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น”
ฟางฉีหยวนจำเป็นต้องหาทางกำจัดพลังอีวิลบลัดออกไปจากตัวของเขาก่อน ถ้าเขาไม่สามารถใช้ยีนเรซได้ เขาก็จะรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก
“โชคดีที่อีวิลบลัดไม่ใช่วิชาประสานยีนที่จะฆ่าคนได้ในเวลาอันสั้น เราต้องรอจนกระทั่งฟื้นตัวก่อน หลังจากนั้นเราค่อยกลับไปหาเขา”
ฟางฉีหยวนมองไปที่หานเซิ่นและคนอื่นๆอย่างเกรี้ยวโกรธขณะที่เขายังคงวิ่งหนีไปอย่างรีบร้อน
หานเซิ่นเรียกโฮลี่เหวินไวท์เดียร์ออกมา เขาเห็นกวางขาวที่ดูศักดิ์สิทธิ์ปรากฎขึ้นตรงหน้าของเขา เขาของกวางนั้นดูเหมือนกับคริสตัลและหยก
โฮลี่เหวินไวท์เดียร์นั้นมีขนาดใหญ่กว่าม้าเล็กน้อย ผู้คนสองถึงสามคนนั้นสามารถนั่งบนหลังของมันได้อย่างสบายๆ
“มิสเตอร์หยางและสองแม่ลูกขึ้นไปนั่งบนหลังของโฮลี่เหวินไวท์เดียร์”
หานเซิ่นต้องการจะเดินทางให้เร็วขึ้น แต่พวกเขาทั้งสามเป็นแค่สามัญชนที่ไม่มียีนเรซ พวกเขานั้นเดินช้าเกินไป
แต่มิสเตอร์หยางและแม่กับลูกสาวนั้นไม่กล้าขึ้นไปนั่งบนหลังของโฮลี่ไวท์เดียร์ มิสเตอร์หยางพูดขึ้นว่า
“นายท่าน นายท่านควรขึ้นไปนั่งบนหลังของมัน นายท่านไม่ควรต้องเดิน ขณะที่ข้ารับใช้อย่างพวกเราขี่หลังของมัน ถ้าผู้คนมาเห็นเข้า พวกเขาคงจะคิดว่าพวกเราเป็นข้ารับใช้ที่หยาบคาย”
หานเซิ่นพยายามจะโน้มน้าวพวกเขา แต่เขาทำไม่สำเร็จ เขาหยุดพูดและขึ้นไปบนหลังของโฮลี่ไวท์เดียร์ หลังจากนั้นเขาก็หันมาพูดกับเด็กผู้หญิงที่ชื่อโยวโยวกับแม่ของเธอที่ชื่อเจียงซื่อ
“ให้โยวโยวขึ้นมานั่งกับข้า ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าจะเดินช้าเกินไป ข้ารอนานขนาดนั้นไม่ได้”
เจียงซื่อพยักหน้าและยกโยวโยวขึ้นไปบนหลังของกวางขาว
โยวโยวอายุราวๆสามถึงสี่ปีเท่านั้น เธอจึงขี้กลัว หานเซิ่นเอาเธอมาไว้ในอ้อมแขนของเขา แต่ตัวเธอสั่นไม่หยุด เธอสั่นรัวเหมือนกับลูกแมวตัวน้อยๆ
เนื่องจากมิสเตอร์หยางและเจียงซื่อไม่สามารถเดินอย่างรวดเร็วได้ ถึงแม้หานเซิ่นจะมีสัตว์ขี่ที่ยอดเยี่ยมมากๆอยู่ แต่พวกเขาก็ยังคงเดินทางได้ช้าอยู่ดี
หลี่ปิงหยูเรียกยีนเรซที่ดูเหมือนกับหมาป่าสีดำออกมา และเธอก็ขี่มันไปข้างๆหานเซิ่น แต่ในหัวใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง
หลี่ปิงหยูคิด ‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมหานเซิ่นถึงได้มีบลัดโกสต์สปิริต? ภายในปราสาทหินนั้นมีไข่ยีนของบลัดโกสต์สปิริตอยู่อย่างนั้นหรอ?’
ความคิดที่ว่าหานเซิ่นสามารถชกบลัดโกสต์สปิริตร่างเต็มวัยจนกลับกลายเป็นไข่ได้นั้นไม่เคยผุดขึ้นมาในหัวของเธอ
มันมีผู้คนมากมายที่เดินทางมาที่เมืองราชาฉิน พวกเขาเดินทางมาเพื่อเยี่ยมชมบ้านเกิดของฉินซิว แต่เมื่อหานเซิ่นไปถึง เขาก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก สถานที่แห่งนั้นได้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวไปแล้ว มันไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับฉิวซิวและน้องสาวของเขาหลงเหลืออยู่ สิ่งก่อสร้างทั้งหมดเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในยุคสมัยที่ฉินซิวยังมีชีวิตอยู่
ยุคสมัยของฉินซิวนั้นผ่านมานานแสนนานแล้ว แต่สิ่งก่อสร้างทั้งหมดดูมีอายุราวๆหนึ่งพันปีเท่านั้น พวกมันไม่มีทางมาจากยุคสมัยที่ฉินซิวยังมีชีวิตอยู่ไปได้
การเดินทางมาที่ดาวตูรินจึงเป็นอะไรที่น่าผิดหวังสำหรับหานเซิ่น เขาไม่สามารถหาข้อมูลอะไรเกี่ยวกับฉินซิวได้ และเขาก็ไม่พบข้อมูลอะไรเกี่ยวกับฉินหว่านเอ๋อเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าเราจำเป็นต้องไปที่เมืองหลวงของอาณาจักรฉิน ตอนนี้คงจะมีแต่ที่นั่นเท่านั้นที่เราจะหาเบาะแสที่ต้องการได้”
หานเซิ่นเดินทางไปรอบๆเมืองอยู่หลายวัน ก่อนที่จะตัดสินใจเดินทางไปที่เมืองหลวงของอาณาจักรฉินต่อ
สิ่งที่ทำให้หานเซิ่นหดหู่อย่างที่สุด คือความจริงที่เขาไม่มีเงินพอที่จะซื้อตั๋วยานอวกาศ
พวกเขาได้ใช้เงินที่มิสเตอร์หยางเก็บสะสมเอาไว้ไปจนหมด เดิมทีมิสเตอร์หยางก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ส่วนเจียงปู้กู่ เจียงซื่อและโยวโยวนั้นไม่มีเงินติดตัวเลย
หานเซิ่นจำเป็นต้องยืมเงินจากโกสต์คิลล์เพื่อจ่ายค่าเดินทางของพวกเขา พวกเขาก้าวขึ้นไปบนยานอวกาศเพื่อเดินทางไปที่เมืองหลวงของอาณาจักรฉิน
ขณะที่อยู่บนยานอวกาศ หานเซิ่นก็คิดกับตัวเอง ‘หลังจากที่ไปถึงเมืองหลวงของอาณาจักรฉิน พวกเราจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราจะพบเบาะแสที่ตามหา ดังนั้นเราจะเอาแต่ยืมเงินของคนอื่นไม่ได้’
หานเซิ่นอยากรู้ว่าจะหาเงินจำนวนมากในเวลาอันสั้นได้ยังไง มันจะเป็นเรื่องยากในการหาเบาะแส ถ้าเขาไม่มีเงินติดตัวเลย
การฆ่ายีนเรซหรือหาไข่ยีนนั้นดูจะเป็นหนทางที่รวดเร็วที่สุดในการหาเงิน แต่หานเซิ่นไม่สนใจจะทำอะไรแบบนั้น สำหรับเขาแล้วมันเป็นอะไรที่เสียเวลา
หานเซิ่นครุ่นคิดและสุดท้ายแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่าเมื่อไปถึงเมืองหลวงของอาณาจักรฉิน เขาจะเปิดร้านขายไข่ยีน ด้วยพลังของคัมภีร์นภาอำพัน เขาจะหาเงินได้เป็นจำนวนมาก
‘แม้แต่ฟางฉีหยวนก็ยังแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น ในพระราชวังของอาณาจักรฉินก็คงจะต้องเต็มไปด้วยยอดฝีมือเป็นแน่ ด้วยสถานการณ์ของเราในตอนนี้ การฝ่าเข้าไปในพระราชวังเพื่อหาร่างของฉินหว่านเอ๋อคงจะเป็นไปไม่ได้ เราคงจะต้องหาทางอื่น’ สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของหานเซิ่นคือรัชทายาทฉินไป๋
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ส่ายหัวและทิ้งความคิดที่จะพึ่งพาฉินไป๋ไป ถ้าฉินไป๋เป็นราชา การทำงานให้กับเขาก็อาจจะเป็นอะไรที่คุ้มค่า แต่ฉินไป๋นั้นเป็นแค่องค์รัชทายาท หานเซิ่นไม่คิดว่าตัวเองจะมีอำนาจอะไรมากนักถ้าไปรับใช้ฉินไป๋
“เราควรเปิดร้านขายไข่ยีนเพื่อหาเงินไปพลางๆก่อน จนกว่าเราจะคิดหาแผนการที่เหมาะสมได้” ถึงแม้หานเซิ่นจะรีบร้อน แต่นี่เป็นบางสิ่งที่เขารู้ว่าต้องทำอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป