นิยาย Supreme Magus ตอนที่ 22 ค่าที่แท้จริงของก้อนหินก้อนนี้
ตอนที่ 22 ค่าที่แท้จริงของก้อนหินก้ อนนี้
“ทําไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?”
“ก็ถ้าเป็นโลกเก่าของฉัน การผูกมัดกับใครสักสักคนที่ไม่ได้สนิทสนมนับ เป็นเรื่องตลกของการแต่งงาน
“นั่นตลกจัง” มีเสียงหัวเราะดังมา
“แต่ก็เศร้าด้วย”
“อย่าเพิ่งสนใจเรื่องตลกเลย ขอทํา ความเข้าใจก่อนนะ เมื่อก่อนเธอเคยเป็น ไอเทมเวทย์ที่ทรงพลัง เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติและความรู้มากมาย แต่ตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอรู้และเคยครอบครองกลับหายไปแล้ว แถมยังมีขนาดเล็กลงจนมีขนาดเท่าลูกแก้ว ฉันพูดผิดไหม?”
“ไม่ผิดหรอก ถูกต้องทั้งหมดเลย”
“อีกอย่าง เธอก็ไม่ได้เลือกฉันเพราะความสามารถหรือเพราะคุณธรรมความดี แต่เพราะฉันเป็นผู้ครอบครองมัน ส่วนประโยคที่กล่าวถึง “พลังเวทย์แม้เพียงน้อยนิด เพื่อรักษาชีวิตของเธอ” นั่นทําให้ฉันดูเป็นตัวช่วยชีวิตที่ห่วยแตกสิ้นดี”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ตอนนี้ฉันเป็นคู่พันธะสัญญากับเธอแล้ว จนกว่าความตายของเธอจะแยกเราจากกัน”
“ฟังแล้วมันชักจะเหมือนการแต่งงานมากขึ้นเรื่อยๆเลย” ลิธบ่นพึมพํา
“ฉันไม่ใช่ปรสิต แต่เธอมองฉันเป็นซิม ไบโอตได้ เราทั้งคู่จะได้รับประโยชน์ จากความสัมพันธ์ของเรา” (Symbiote – สิ่งมีชีวิตในรูปแบบปรสิต โดยสิ่งที่หล่อเลี้ยงมันคืออารมณ์และความรู้สึกของเจ้าของร่างที่มันสิงสู่)
“ช่วยยังไง? หรือจะบอกว่าถ้าเธอได้พลังคืนกลับมาแล้ว เธอจะฟื้นฟูความทรงจําและไอเทมเวทย์ได้งั้นหรอ?”
“ไม่หรอก พวกมันจะหายไปตลอดกาล ฉันก็เหมือนเธอนั่นแหละ เมื่อเธอโตขึ้น เธอจะคายอาหารที่กินในอดีตแล้วส่งต่อคนอื่นได้ไหมล่ะ? คําตอบคือไม่ ฉันก็เช่นกัน”
“แล้วสรุปเธอมีประโยชน์ยังไงเนี่ย?”
“ตอนนี้ที่ฉันให้เธอได้ก็คือ กระเป๋ามิติ”
“พูดอะไรนะ?”
“รอสักครู่ ฉันกําลังดูความทรงจําของ เธอ เพื่อทําให้เข้าใจง่ายขึ้น มันทํางานเหมือนกับ กระเป๋าของDungeons & Looting”
“น่าสนใจดี” ลิธครุ่นคิด
“มิติของฉันสามารถเก็บของได้โดยไม่สนใจน้ําหนัก”
“แล้วกระเป๋ามิตินี่มันใหญ่แค่ไหนล่ะ?”
“มันมีขนาด สิบลูกมาศก์เมตร เก็บอะ ไรก็ได้ตามขนาดของมันจะหนักเท่าไหร่ก็ได้ ตราบใดที่มันเป็นสิ่งของที่ไม่มีชีวิต”
แววตาของลิธฉายแววความชั่วร้ายออกมา
“ถ้าอย่างนั้นเก็บสิ่งของอย่างลูกธนู สายฟ้า, ลูกไฟ หรือลูกธนูต่างๆได้ใช่ไหม ถ้าเก็บได้ ก็จะถือว่าเป็นเครื่องมือ ที่ล้ําค่าทั้งในด้านการโจมตีและป้องกัoเลยทีเดียว”
“ไม่ได้” ทันใดนั้นเสียงของหญิงสาวก็ ทําลายความหวังของลิธไป
“กระเป๋ามิตินี้อยู่นอกเหนือมิติและเวลา ดังนั้นจึงไม่อาจเก็บพลังงานชีวิตและพลังงานที่เคลื่อนไหวได้” แต่เมื่อเธอรู้สึกถึงความผิดหวังของโฮสต์ก็เอ่ยออกมาอีกว่า
“นี่หมายความสิ่งที่เธอเก็บไว้จะไม่มีวันเน่าเสีย เย็นลงหรือร้อนขึ้น ของที่ปรุงเสร็จแล้ว เมื่อนําออกมาก็ยังคงอุ่น และมีรสชาติเหมือนตอนที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ”
“นั่นไม่ได้ทําให้ฉันรู้สึกมีความหวังขึ้น มาสักนิดเลย”
แม้พวกเขาคุยกันนานแล้ว แต่เพิ่งผ่านไปเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากที่ลิธได้เห็นความทรงจําของหินก้อนนี้
“เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์อยู่ ตอนนี้ฉันรู้วิธีการเอาหมูป่ากลับไปแล้ว แต่ยังต้องหาข้อแก้ตัวเพื่ออธิบายว่าฆ่ามันยังไง” หญิงสาวยักไหล่พลางต อบว่า
“เรื่องง่ายๆ เอามันออกมาวางไว้ที่ชาย ป่า จากนั้นก็บอกเซเลียว่าเธอเอาชนะ มันได้ในบริเวณนั้นก่อนที่จะฆ่ามันเช่นนี้ แล้วคนอื่นๆจะเชื่อได้ง่ายว่ามันเป็นเรื่องจริง”
ลิธพยักหน้าเห็นด้วย
“ช่างมีไหวพริบและเฉลียวฉลาด ฉันประหลาดใจที่เราเชื่อมโยงจิตกันแล้ว แต่ก็ทําให้รู้ว่าเธอไม่มีเจตนาซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่ หากเธอเป็นอย่างที่พูดจริงๆ ฉันก็จะเก็บเธอไว้ ความจงรักภักดีที่แท้จริงหาได้ยากเกินกว่าจะปฏิเสธเมื่อได้พบกันแล้ว”
ลิธเก็บถุงผ้าแล้วห้อยคอไว้อย่างเดิม จากนั้นก็เก็บหมูป่าเข้าไปในกระเป๋ามิติ
“แต่ว่าผมไม่อยากเรียกว่า เธอ” กับ “หิน” อีกแล้ว เธอมีชื่อหรือเปล่า?”
“ไม่มีหรอก” น้ําเสียงที่ตอบกลับมาดูเศร้าเหลือเกิน
“มันหายไปแล้ว เหมือนกับสิ่งอื่นๆ”
“อย่าเศร้าไปเลยน่า ชื่อมันก็เป็นแค่คําเรียกเท่านั้นแหละ เธอจะเรียกฉันว่า เดเรค, ลิธ, โฮสต์, เดลต้า หรืออะไรก็ได้ เพราะยังไงฉันก็ยังคงเป็นคนขี้แซะ ขี้โกหก ชอบดูถูกคนอื่น เกลียดผู้คน และเป็นคนโหดร้ายเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด อยากให้ฉันตั้งชื่อเธอไหม?”
“อยากค่ะ” ลิธเตรียมชื่อไว้แล้วตั้งแต่ได้รู้เรื่องราวของแกนหอคอย
“ฉันว่าเธอน่าจะเป็นไอเทมเวทย์ที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ ดังนั้นฉันจะตั้งชื่อตามตัวละครที่ชื่นชอบมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ปรมาจารย์ผู้วิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โซลัส”
“ขอบคุณค่ะ ลิธ ฉันชอบวิธีการออก เสียงและซาบซึ้งจริงๆที่ตั้งชื่อตามคนที่เธอรัก แทนที่จะตั้งชื่อเหมือนกับสัตว์เลี้ยงอย่างแฮปปี้หรือลัคกี้” ลิธเกิดความรู้ สึกแปลกๆที่เห็นโซลัสหน้าแดงระเรื่อ
ทั้งสองคนพูดคุยกันตลอดทางที่เดินกลับไป ลิธอยากทําความเข้าใจขีดจํากัด และการใช้สกิลเซ็ทของคู่หูคนใหม่เป็นอย่างมาก
หลังจากเปิดใช้งานกระเป๋ามิติได้ เขาก็เลือกจุดที่เหมาะสม คือ ต้องอยู่ใกล้ชายป่ามากพอและลึกพอที่จะไม่อาจมองเห็นหมูป่าจากระยะไกลได้
“แค่ปล่อยเหยื่อทิ้งไว้เพียงลําพังไม่นาน ก็อาจจะเกิดปัญหานับร้อยได้ ผู้คนมักอ้างว่าเหยื่อเป็นของเขาเอง พวกเขาคิดว่าตนเองโชคดีที่ได้อาหารฟรี แต่ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องโชคเลย”
“เธอแค่ไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น” โซลัส เอ่ยเสียงเรียบ
“ใช่แล้ว นั่นแหละกฎข้อที่1ของชีวิต ส่วนข้อที่สองคือ ทําดีได้ดีมีที่ไหน ทําชั่วได้ดีมีถมไป”
จากนั้นลิธก็ใช้เวทย์ดินกับเวทย์ลม เพื่อทําให้สภาพแวดล้อมโดยรอบดูเละเทะ โดยสร้างสถานการณ์ว่าก่อนหน้านี้ เขาได้ต่อสู้กับหมูป่าบริเวณนี้นั่นเอง
“บิ๊ะ! อุตส่าห์ทุ่มเทมากมายขนาดนี้ ดันทําได้แค่นี้หรอ ถ้าเซเลียมาดูชัดๆคง จับไต่ฉันได้แน่ ได้แต่หวังว่ารางวัลที่ได้จะดึงดูดสายตาเธอมากพอที่จะไม่เกิดคําถามใดๆแล้วกัน”
จากนั้นเขาก็ค่อยๆหย่อนถุงผ้าลงบนพื้น
“ทันทีที่ได้รับสัญญาณจากฉัน เธอก็นําหมูป่าออกมาจากกระเป๋ามิติ แล้วฉันจะรีบวิ่งกลับมา”
จากนั้นลิธก็วิ่งไปที่บ้านของเซเลีย อย่างสุดฝีเท้าโดยไม่รอคําตอบรับใดๆ จากโซลัส และเมื่ออยู่นอกระยะเชื่อม โยงจิต (สิบเมตร) ลิธก็ถอนหายใจออ กมาด้วยความโล่งอก
“บ้าจริง การทิ้งเธอไว้อย่างนั้นดูจะเป็น เรื่องแย่ แต่เธอรู้เหตุผลดีอยู่แล้วว่าทํา ไมฉันถึงทําอย่างนั้น ใครมันจะไปยอม ให้คนอื่นมาอยู่ในหัว อ่านทุกความคิด ความทรงจําที่น่าอับอายที่สุด ยิ่งพูดถึง D&L (Dungeons & Looting) สิ่งของในนั้นล้วนมีแต่ปัญหา การพยายามคุมจิตเพื่อเป็นเจ้าของหรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นนิยาย แต่มันก็… แล้วถ้าบังเอิญไปเจอแหวนผู้สันโดษที่อยู่ในหนังสือของ วาซิลลี่ โบลเกี้ยน ภายในโลกนี้ล่ะ?”
ลิธส่ายหัว เหงื่อซึมออกตามมือตาม เท้า
“พนันได้เลยว่าทันทีที่พวกเรากลับมา อยู่ด้วยกัน เธอจะต้องเข้าถึงความคิดนี้ ของฉันได้ด้วยเหมือนกัน บัดซบจริงๆ แต่ถ้าไม่เจ็บปวดก็ไม่มีวันเติบโต ถ้าเธอเป็นอย่างที่พูดจริงๆ นั่นก็คุ้มที่จะเสี่ยงแล้ว อย่างน้อยฉันก็มีใครสักคนที่รู้จักตัวตนของฉันสักที”
ไม่กี่นาทีต่อมา เซเลี่ยกับลิธก็มาถึงจุดรับส่ง ซึ่งมีเกวียนที่ใช้ม้าถึงสองตัว สําหรับเคลื่อนย้ายสิ่งของที่มีน้ําหนักมากๆ
“มันใหญ่จนถึงกับต้องใช้ม้าสองตัวเลยหรอ?” เธอเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความ สงสัย
“ฉันคิดว่าม้าตัวเดียวก็น่าจะพอลากไหวนะ อีกอย่าง มันบังคับเกวียนง่ายกว่าด้วย”
เมื่อลิธกับเซเลี้ยกระโดดลงมาจากเกวียน เขาก็ให้สัญญาณกับโซลัส ส่วนเซเลียก็จูงม้าออกมาเพื่อนําทางพวกมันด้วยตนเอง
ลิธนําเชือกเส้นหนามาทําเป็นสาย บังเหียนให้กับซากหมูป่า เพื่อให้สะดวกต่อการลากออกจากป่าแล้วนําขึ้นเกวียนอย่างง่ายดาย
เมื่อเซเลียมาเห็นเหยื่อด้วยตาของเธอเอง ก็ผิวปากขึ้นมาด้วยความดีใจ
“พระเจ้า! นี่ต้องหนักประมาณสามร้อยกิโลกรัมแน่ๆ! ครั้งนี้เธอไม่ได้โม้เหมือน ครั้งก่อนๆเลย”
“ผมไม่เคยโม้นะ” ลิธใช้เวทย์วิญญาณ เพื่อเก็บถุงผ้าแบบเนียนๆ ในขณะที่เซเลียยังคงยุ่งอยู่กับการกะขนาดของซากหมูป่า
“เอาน่า ผู้ชายทุกคนก็ขี้โม้ทั้งนั้นแหละ” เซเลียเดาะลิ้นตอบกลับ
“เธอเองก็เหมือนกัน ด้วยเวทมนตร์และความลับของเธอ จะให้ฉันเชื่อหรอว่าเธอไม่ได้สนุกกับการที่เธอตัวเตี้ย และฟันหลอน่ะ?” เธอหัวเราะออกมาดังลั่น
“ไม่ใช่ความผิดของผมที่พูดไม่ชัด!” ลิธไม่พอใจที่เธอล้อเลียนเขา
“คุณจะหยุดล้อเลียนผมได้หรือยัง?”
“โอเคๆ ฉันขอโทษที่ ภาพลักษณ์ของเด็กที่ดื้อรั้นอย่างเธอประกอบกับการพูดไม่ชัดมันทําให้ตลกมากเลย”
ครั้งแรกที่เธอได้ยินเขาเรียกชื่อ “เฟเลีย” เธอหัวเราะหนักจนถึงกับตกเก้าอี้ แล้วยังคงกุมท้องหัวเราะต่ออีก
“ดูจากขนาดของมันแล้ว น่าจะใกล้เปลี่ยนร่างไปเป็นสัตว์เวทย์แล้ว เราจะขายมันได้ในราคาที่ดีกว่านี้มาก น่าเสียดายจริงๆ” เธอถอนหายใจ
“ใช่ แต่ถ้ามันเป็นสัตว์เวทย์ ผมคงตายไปแล้วอ่ะครับ” วิธแย้งขึ้นมา
พวกเขาเถียงกันตลอดเวลาจนกระทั่งเคลื่อนย้ายหมูป่าไปยังเกวียนได้อย่างปลอดภัย
เมื่อกลับไปถึงบ้านและเริ่มกรีดเลือด เหยื่อเซเลียก็เกิดความคิดที่จะทําเงิน-7hนมา
“ส่วนที่มีมูลค่าที่สุดก็คือหัว ถ้าเราสา มารถหาขุนนางที่เต็มใจจะสต๊าฟมันไว้ แล้วแขวนไว้เหนือเตาผิงจากนั้นก็ได้เครดิตไปว่าเขาเป็นคนฆ่ามันเอง พวกเราก็ขายได้ราคางามเลยล่ะ ส่วนหนังกับเนื้อก็ไม่ได้มีมูลค่าอะไรเท่าไหร่ เธอคิดจะทําอะไรกับมันล่ะ?”
ลิธผงกหัว แล้วตอบว่า “เนื้อทั้งหมดนี้ จะทําให้ผมไม่ต้องล่าไปอีกสักพัก เลยล่ะ ดังนั้นผมว่าจะเก็บไว้เป็นอาหาร ส่วนหนังของมัน ผมว่าจะทําเป็นพรมสําหรับห้องนอนพ่อแม่ผม”
“ช่างเป็นเด็กที่รักครอบครัวจริงๆ” เซเลียขยผมของลิธ แต่ประโยคนี้ของเธอกลับไม่ได้แฝงความล้อเลียนเอาไว้
“ฉันภูมิใจที่เธอทําเพื่อครอบครัวถึงขนาดนี้ เดี๋ยวฉันจะฟอกหนังให้ฟรีๆ แต่ยังเก็บราคาค่าหัวหมูป่าครึ่งหนึ่งอยู่ดีนะ”
“เยี่ยมไปเลยครับ!”
“ดี! ตัวเลือกที่ดีที่สุด น่าจะเป็นท่านเคาท์ลาร์ค เขาภูมิใจในทักษะการล่าของตัวเองมาก ฉันต้องติดต่อกับเส้นสายที่อยู่ในคฤหาสน์ของเขาก่อน ขอให้สําเร็จด้วยเถอะ!”
ลิธเสียดายเงินที่ต้องเสียไปมากมาย แต่ได้มาครึ่งหนึ่งก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย เขาไม่รู้วิธีการฟอกหนังหรือการสต๊าฟหัวสัตว์ อีกทั้งไม่มีเวลาและเครื่องมือในการทําสิ่งเหล่านั้นอีกด้วย และต่อให้เขาทําได้ เขาก็ไม่มีทางขายสินค้านอกหมู่บ้านเล็กๆได้หรอก
หลังจากเซเลียออกไปแล้ว เขากับโซลัสก็เริ่มคุยกันอีกครั้ง โดยที่ทั้งสองต่างแสร้งทําเป็นไม่รู้ความรู้สึกของกันและกัน
“โซลัส ฉันคิดว่าเธอสามารถทําให้การฝึกศิลปะการต่อสู้ของฉันก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่งได้นะ”