ตอนที่ 25 ลอบทําร้าย
หลังจากสิ้นสุดเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลิธกลับมาทํากิจวัตรประจําวันตามเดิม
ตอนนี้พิสูจน์ได้แล้วว่าโซลัสคือตัวช่วยที่สําคัญในการฝึกเวทมนตร์ แม้เธอจะสูญเสียความรู้ในอดีตไปแล้วแถมยังค่อนข้างอ่อนต่อโลก แต่เธอกลับมีอะไรที่สามารถชดเชยข้อเสียทั้งสองนั้น
โซลัสไม่ได้มีแค่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์เท่านั้น แต่มีถึงสิบสองสัมผัส เธอมั่นใจว่าเมื่อฟื้นฟูพลังกลับมาเหมือนเดิม เธอจะปลุกประสาทสัมผัสเหล่านั้นได้อีกครั้ง
การรับรู้มานาของโซลัสช่วยให้ลิธเข้าใจกฎของเวทมนตร์มากขึ้น ซึ่งเป็นตัวกําหนดความสามารถและปริมาณมานา
การรับรู้มานาของเธอเหมือนกันกับ Life Vision ของลิธ แต่ละเอียดและแม่นย่ากว่า เธอสามารถมองเห็นการไหลเวียนของมานาได้ แม้กระทั่งจากใบหญ้าหรือก้อนกรวด และเมื่อมองดูใครสักคน ก็รู้ความสามารถทางเวทมนตร์ของคนนั้นได้ทันที
ที่สําคัญกว่านั้น เธอสามารถใช้การรับรู้มานาในความทรงจําของลิธได้อีกด้วย การรับรู้มานาจะมองเห็นข้อมูลในรูปแบบของสเปกตรัมที่มองเห็นได้ แต่มนุษย์ไม่รู้วิธีการตีความข้อมูลเหล่านั้น
“ตอนที่เธออยู่ในโลกเก่า เธอไม่มีแกนมานา และโลกนั้นก็ไม่มีมานาเลยด้วย บนยานเอเลี่ยนก็เช่นเดียวกัน”
“แต่ตอนที่เธอเกิดมาที่นี่ เธอก็เกิดมาพร้อมกับแกนมานาสีแดงเลือดขนาดเล็กมากๆ เมื่อดูดซับพลังงานโลกด้วยเทคนิคการหายใจ เธอก็พัฒนาจากสีแดงกลายเป็นสีส้ม”
“สี่ปีแห่งการทุ่มเทฝึกฝนก็ทําได้แค่เลื่อนระดับเนี่ยนะ?” ลิธรู้สึกผิดหวังกับเรื่องนี้มาก
“ไม่หรอก แกนมานาของเธอยังคงเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปพร้อมๆกับเธอที่โต ขึ้น นี่ก็คือสิ่งที่ทุกคนเป็นกัน ตอนเธอเกิดมา แกนมานาของทิสต้าก็กลายเป็นสีแดงของดอกป๊อปปี้ และสว่างขึ้นเรื่อยๆทุกปี ตอนนี้มันกลายเป็นสีส้มอ่อน ภายหลังมันจะเปลี่ยนไปเป็นสีเหลืองหรือสีเขียวก็ยังได้ เพราะเธอดูมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์พอสมควรเลยล่ะ”
“แล้วฉันล่ะ?” ลิธยังคงรู้สึกแย่กับตัวเอง
“ทําไมฉันถึงห่วยไปเสียทุกเรื่องเลยนะ ทั้งเรื่องหน้าตาและพรสวรรค์ จะให้มีดีสักอย่างไม่ได้หรือไง?”
“หยุดดราม่าแล้วฟังฉันนะ เธอลืมไปหรือเปล่าว่าเธออายุน้อยกว่าที่สต้าสองปี และฉันเองก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงกับผู้ชายมีอัตราการพัฒนาแกนมานาต่างกันหรือเปล่า”
“นอกจากนี้ การข้ามขั้นของเธออย่างต่อเนื่องก็ทําให้ฉันเข้าใจความสามารถพื้นฐานของเธอได้ยากอีกด้วย ทุกๆการขยายและบีบอัดในแต่ละรอบนั้น แกนมานาของเธอจะสว่างขึ้นมาหนึ่งเฉด และทุกครั้งที่เธอขับสิ่งสกปรกออกไปจากแกนมานา มันก็ข้ามไประดับถัดไป ตอนนี้มันกลายเป็นสีเขียวเข้มแล้ว”
“แกนมานามีความเกี่ยวข้องกับสเปกตรัมแสงหรอ?” ลิธทําท่าครุ่นคิด
“เมื่อมีแสงสีขาวตกกระทบปริซึม จะกระจายออกเป็นสีแดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า น้ําเงิน และม่วง”
“ใช่แล้ว” จิตของโซลัสเห็นด้วย
“แต่มันก็อาจจะเกี่ยวข้องกับไฟก็ได้ด้วย เปลวไฟเองก็ใช้หลักการเดียวกัน สีเหลืองเย็นกว่าสีเขียวเป็นต้น คําถามที่แท้จริงคือ ขั้นตอนสุดท้ายของแกนมานาจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือสีขาวกันแน่?”
ลิธส่ายหน้า
“ชักจะปวดหัวแล้ว นี่เหมือนกับตอนเรียนมหาวิทยาลัยบนโลกเก่า แค่คิดว่าจะต้องสอบผ่านให้ได้และต้องกลับไปหาอาจารย์ของฉัน ก็รู้สึกสิ้นหวังแล้ว” ความทรงจําเหล่านั้นทําให้เขาถึงกับสั่นสะท้าน
“โฟกัสที่ปัจจุบันดีกว่า ตอนนี้ผมเป็นสีเขียวเข้ม แล้วของนานาล่ะ?”
“เธอเป็นคนเดียวที่มีแกนมานาสีฟ้าอ่อน เกิดมาพร้อมพรสวรรค์เช่นนี้ ช่างน่าประทับใจจริงๆ”
“แล้วในหมู่บ้านมีใครอีกที่มีพรสวรรค์แบบนี้?” ลิธต้องคิดเผื่อว่าอาจจะมีคู่แข่งในอ
นาคต
“ไม่มีแล้ว เด็กที่ลาร์คพามาก็มีแกนสีเหลืองอ่อน แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะอยู่ที่นี่
หรอก”
ลิธถอนหายใจ ข้อมูลเหล่านั้นมันมากเกินกว่าที่เขาจะรับไหว ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาคิดมาตลอดว่าตนเองเป็นคนพิเศษ แข็งแกร่งกว่าใครๆ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเป็นกบในกะลา ในที่สุดก็ค้นพบโลกที่กว้างใหญ่แล้ว
“เอาล่ะ พอแค่นี้ก่อน เรามาฝึกกันเถอะ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอก”
ลิธกับโซลัสซ้อมด้วยกันตลอดทั้งปี และสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับพี่น้องฝาแฝด
วันเกิดของลิธอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่กิจกรรมหลักๆทั้งหมดในหมู่บ้านถูกระงับไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิ และด้วยข้อเสนอของนานาที่เปลี่ยนจากการไปโรงเรียนสองปี ให้เป็นการไปฝึกกับเธอ ลิธก็ต้องรอไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิจึงจะได้เริ่มเรียนเวทมนตร์
ในช่วงฤดูหนาวอากาศปลอดโปร่งและมีการค้าขายระหว่างหมู่บ้านกับฟาร์มมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องขอบคุณที่นานาบอกให้ลิธรู้วันเริ่มฝึกงาน โดยฝากข้อความไว้กับเพื่อนบ้านของเขาที่ไปหาเธอเพื่อรักษาแผลที่เกิดขึ้นระหว่างซ่อมหลังคา
เมื่อถึงเวลา ลิธตื่นแต่เช้า ตั้งใจว่าจะไปทําความสะอาดทั้งบ้านเขาและบ้านเซเลียตามกิจวัตรก่อนจะเข้าไปในหมู่บ้าน พรานสาวทําอะไรหลายอย่างเพื่อเขา ลิธนับถือเขาเป็นป่า เธอทั้งขี้เหนียว ขี้บ่น และหัวหมอพยายามโกงข้อตกลงอีกด้วย แต่เธอก็ยังคงเป็นป่าอยู่ดี
เช้าวันนั้นบ้านดูวุ่นวายมาก ทุกคนที่เขารักต่างก็ตื่นเต้นเมื่อคิดว่าในอนาคตครอบครัวจะมีนักเวทย์แล้ว ทําให้พวกเขาแทบจะทานอาหารเช้ากันไม่ลงเลยทีเดียว พวกเขาล้วนใช้เวลาและพลังไปทั้งหมดกับการให้คําแนะนําและข้อห้ามสําหรับเขา
“อย่าไปสายนะ มาเช้าก็ยังดีกว่ามาสาย
“จงเชื่อฟังและให้ความเคารพนะ นานาให้โอกาสที่ยิ่งใหญ่กับลูกแล้ว!”
เหตุผลที่ทุกคนดูจะให้ความสําคัญมากมายขนาดนี้ก็เพราะว่า ลิธจะต้องเข้าไปในหมู่บ้านตามล่าพัง
บ้านนี้ยังต้องมีการซ่อมแซมอีกมาก และเมื่อออร์พัลจากไปแล้ว พวกเขาก็ต้องการคนมากมายเพื่อมาดูแลทุ่งนากับสัตว์เลี้ยงต่างๆ ลิธไม่ได้รังเกียจงานเหล่านั้น เขาใช้เวลาเพียงสามสิบนาทีก็ทํางานเสร็จสิ้น
ราซกับเอลิน่าก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกําลังทอดทิ้งลูกในเวลาที่ต้องการลูกเสียอย่าง
นั้น
ลิธรีบออกจากบ้านเพื่อหนีจากความห่วงใยเหล่านั้น เขาไม่รู้สึกอะไรกับการไปฝึกกับนานามากนัก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาไปเรียน แต่พ่อแม่กลับทําให้เขารู้สึกประหม่าอย่างกับวัยรุ่นมีเดทแรก หลังจากที่ทําความสะอาดบ้านเซเลียจนเสร็จ เขาก็รับเงินตามปกติ แล้วหันไปมองพระอาทิตย์เงียบๆ
“บ้าจริง ยังไม่เช้เลย แต่ฉันกลับตัวสั่นเพราะกลัวจะไปสาย ทั้งที่ยังมีเวลาอีกมากนัก”
ลิธเดินไปที่หมู่บ้านอย่างรวดเร็ว หวังว่าเมื่อไปถึง นานาจะตื่นแล้ว การมาถึงเช้าแล้วทําให้เธอตื่นไวขึ้นดูจะเป็นการเสียมารยาททีเดียว
แต่เมื่อเขาเดินได้ครึ่งทาง ลิธก็สังเกตเห็นอะไรแปลกๆ มีทหารม้ายืนอยู่ข้างถนนเป็นเรื่องผิดปกติที่พบเห็นคนแปลกหน้าในเวลาเช้าตรู่ แต่สิ่งที่ทําให้เขาตื่นตระหนกจริงๆคือ ชายคนนั้นไม่ได้ทําอะไรนอกจากเดินไปเดินมาอยู่
เมื่อทหารม้ามองเห็นลิธ เขาก็เป่านกหวีด ส่งเสียงแหลมดังขึ้นมา
ลธยังคงเดินไปข้างหน้าแต่เชื่องช้า เตรียมพร้อมกับทุกสถานการณ์ ไม่นานนัก หน่วยลาดตระเวนก็มาร่วมด้วย เป็นทหารม้าอีกสี่นาย พวกเขาวิ่งเหยาะๆตรงไปยังลิธเป็นรูปหัวลูกศร
ลิธหยุดเดิน เตรียมร่ายคาถาหลายอย่างแล้ว
“เด็กน้อย เธอคือลิธ ลูกชายของราซกับเอลิน่าหรือเปล่า?” ทหารม้าคนที่เอ่ยขี้นมา เป็นผู้ชายวัยกลางคน มีผมและดวงตาสีน้ําตาล หนวดเคราได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดี ท่วงท่าอันสง่าผ่าเผยรวมไปถึงน้ําเสียงออกค่าสั่ง ล้วนบ่งบอกได้ว่าเขาน่าจะมีตําแหน่งอยู่บ้าง
แต่เมื่อมองดีๆแล้ว ทหารม้าทุกนายต่างก็มีบรรยากาศแบบเดียวกัน เดินขบวนได้อย่างพร้อมเพรียง ล้วนสวมใส่ชุดล่าลอง เสื้อเชิ้ตขาวกับกางเกงหนังล่าสัตว์
“ไม่เช้าไปหน่อยหรอที่จะออกไปข้างนอกโดยไม่มีเสื้อแจ็คเก็ตหนังที่เข้าชุดกัน ลิธคิดในใจ
“เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาไม่ต้องการแสดงยศให้ใครเห็น”
“พวกคุณเป็นใครครับ? แม่ผมบอกเสมอว่าไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า” ลิธตัดสินใจ ถ่วงเวลาเพื่อให้โซลัสตรวจสอบบริเวณโดยรอบ มองหาคนอื่นๆหรือกองกําลังเสริมที่อาจจะซ่อนตัวอยู่
“ฉันเห็นแต่มนุษย์เพศชายห้าคนที่มีความแข็งแกร่งทางกายภาพสูงกว่าคนทั่วไป แกนมานาเป็นสีแดงเข้ม” โซลัสรายงาน ซึ่งก็สอดคล้องกับลธที่ระบุได้จาก Life Vision แต่สี่ตาย่อมต้องดีกว่าสองตาอยู่แล้ว
“ฉันถามอยู่ เด็กน้อย เธอคือลิธที่จะเริ่มการฝึกวันนี้ใช่ไหม?”
ลิธทําหน้างงใส่
“ใครก็ตามที่ส่งไอ้นักกล้ามมานี่มันชักจะรู้เรื่องฉันมากไปละ”
“ใช่แล้ว ผมเอง” ลิธตอบโต้กลับไปอย่างฉุนเฉียว “และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องของคุณด้วย”
“ฉันมาเพื่อให้คําแนะนําดั่งมิตรนะ เจ้าลูกชาย วันนี้เธอป่วยมาก จะเป็นการดีสำหรับเธอที่ตรงกลับไปบ้านแล้วพักผ่อนเสีย”
ความโกรธของลิธก่อตัวขึ้นมาและเขาก็ไม่สนใจจะเก็บความโกรธเอาไว้
“ผมสบายดีมาก ขอบคุณ”
“ตอนนี้ก็ไปได้แล้ว!”
บรษทั้งห้าลดมือลงไปกุมอาวุธพร้อมกับจับบังเหียนแน่นเตรียมพุ่งเข้าใส่
“โอกาสสุดท้าย เด็กน้อย หันหลังกลับไปซะ ฉันรู้ว่าเธอมีบ้านที่น่าอยู่ แม่ที่สวยงามยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงพี่สาวคนงามทั้งสอง คงจะเป็นเรื่องเศร้าน่าดูถ้าเกิดเรื่อง ไม่ดีกับพวกเขาน่ะ”
ลิธปล่อยจิตสังหารอันรุนแรงออกมา ทําให้ม้าถอยไปหนึ่งก้าว เหล่าทหารม้าล้วนขนลุกชันขึ้นมา
“ทีแรกผมตั้งใจว่าจะเล่นสนุกสักหน่อย แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจละ” เขากวาดมือขวาออกไป เกิดใบมีดลมห้าสายฟาดไปที่ขาม้า พวกมันต่างร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับล้มลงไป
“ตอนนี้พวกคุณก็ถอยไม่ได้แล้ว”
ชายที่มีหนวดพยายามกลิ้งลงจากหลังม้าเพื่อป้องกันไม่ให้มาทับ อีกสามคนกลับหลบไม่ทัน
“ฆ่ามัน! ไปๆๆๆ!”
“คุกเข่าซะ!” ลิธออกคําสั่งด้วยเสียงเย็นชา ค่าพูดของเขาเป็นดั่งหินกดทับชายทั้งสองทําให้พวกเขาคุกเข่าลงไปทันที
เวทย์วิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่าที่เคย และเขาเองก็ใส่แรงเต็มที่อีกด้วย
“บ้าอะไรเนี่ย? ซาร์จ ฉันลุกไม่ได้!” ชายที่อยู่ด้านขวากําลังโวยวายดิ้นรนอยู่
“ผมยังไม่ได้อนุญาตให้คุณพูดหรือมองผมนะ ผมบอกให้คุกเข่าไงล่ะ!” และแล้วก็มีคลื่นพลังอีกหนึ่งสายที่รุนแรงกว่าเดิมกดหัวพวกเขาลงไปกับพื้น
แม้จะมีอาวุธเพื่อรับแรงกระแทกแต่พวกเขาก็ยังคงกระแทกไปกับพื้นจนเลือดไหล ออกมา
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ได้เวลากาจัดขยะแล้ว เดี๋ยวค่อยกลับมาคุยต่อ” ลิธเดินไปหาทหารม้าที่อยู่ใกล้ที่สุด เขายังอยู่ใต้ร่างม้า ขาหักติดอยู่กับมัน ทําให้ต้องร้องออกมา ด้วยความเจ็บปวด
ลิธโบกมือ บิดหัวทั้งสองคนไป180องศา เสียงดังกร้อบ ราวกับโยนไม่แห้งลงไปในกองไฟ
“ออกไปนะ! ออกไปไกลๆฉันเลยนะ ไอ้สัตว์ประหลาด!” คนที่อยู่แถวถัดไปร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง
“ผมเป็นสัตว์ประหลาดหรอ? ไม่ใช่คุณหรือไงที่พร้อมจะเผาบ้านของคนบริสุทธิ์ แล้วยังคิดจะข่มขืนเด็กอายุแปดขวบอีกด้วย” จากนั้นลิธก็กาหมัดแน่น บดขยี้หัวชายคนนั้นโดยไม่รอคําตอบใดๆ หัวของมันระเบิดออกจนแหลกเละ
“ได้โปรด! ฉันไม่ได้ทําอะไรผิด! เมตตาฉันเถอะ! ฉันแค่ทําตามคําสั่งเท่านั้น!” ชายหนุ่มรูปหล่อผมบลอนด์กําลังพยายามสลัดขาที่ติดอยู่ออกไป
“ทําตามคําสั่ง… ฉันบอกได้เลยว่ามีคนอย่างคุณมากมายนักที่ทําเรื่องโหดร้ายลงไปแล้วใช้ข้ออ้างอย่างนั้น แต่คุณก็เห็น ผมเองก็ทําตามคําสั่งเช่นกัน! คําสั่งของผมเองไง!” จากนั้นก็มีสายฟ้าฟาดใส่ทั้งม้าทั้งคน พวกเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วกลายเป็นเถ้าถ่านไป
ลิธกลับมาหาคนที่กําลังคุกเข่าอยู่ พวกเขาพยายามดิ้นรนหลุดจากการควบคุมให้ได้ ใบหน้าซีดเผือดราวกับเห็นผี กัดฟันพร้อมกับรีดเร้นแรงทุกส่วนในร่างกาย
“โทษทีนะ” ลิธพูดด้วยรอยยิ้มแสยะ แล้วปล่อยให้พวกมันเงยหน้าขึ้น
“แต่คาถาหุ่นกระบอกมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ต้องใช้มากกว่าความแข็งแกร่งกับความคิดเพื่อหลุดจากการควบคุมของมัน”
ชายทั้งสองอยากอ้อนวอนขอความเมตตา แต่ปากกลับปิดสนิท ราวกับว่าฟันของพวกเขาถูกหลอมรวมกันทําให้อ้าปากไม่ได้
“เอาล่ะ ตอนนี้ผมมีข่าวดีกับข่าวร้ายมาบอก ข่าวร้ายคือ ผมไม่ต้องการคุณทั้งคู่ แล้ว ส่วนข่าวดีก็คือ ผมจะอนุญาตให้คุณพูดได้ มีอะไรอยากสั่งเสียไหม?”
“ได้โปรด อย่าฆ่าฉันเลย ฉันเพิ่งแต่งงาน ฉันอยากได้เงินรางวัลจากท่านลอร์ด! ภรรยาฉันกําลังตั้งท้อง! ฉันไม่อยากเสียตําแหน่งไป!”
ลิธหัวเราะออกมาอย่างโหดเหี้ยม
“อืมมม… ผมว่าไม่ใช่หรอก คุณพูดว่าภรรยา แต่ที่ผมได้ยินคือแม่หม้าย” ลิธวางมือลงบนหัวเขา เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นก้อนน้ําแข็ง มันล้มลงไปกับพื้น เศษกระดูก เนื้อหนัง รวมถึงสมองที่แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ชายที่มีหนวดเคราเริ่มอาเจียนออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ปากกลับปิดสนิท จึงท่าให้ของเหลวไหลออกมาจากจมูก ส่วนที่เหลือเขากลืนมันลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อไม่ให้ตนเองสําลัก
ลิธยกมือขึ้น ทําให้ชายคนนี้ลอยกลับหัวอยู่กลางอากาศ เขาจึงมองตาได้ตรงๆ
“ตอนนี้ คุณมีสองทางเลือกเท่านั้น บอกสิ่งที่ผมอยากรู้แล้วตายโดยไร้ความเจ็บปวด หรือจะเลือกต่อต้านแล้วต้องเจอกับความเจ็บปวดที่แสนจะทรมานก่อนจะบอก สิ่งที่ผมอยากรู้ เลือกได้ตามสบายเลยนะ”