ตอนที่ 27 กวาดล้างตระกูล
จากนั้นทั้งพ่อลูกก็หันหลัง เห็นลิธวิ่งผ่านไปแล้วหยุดอยู่ตรงหน้านานา เขาอยู่ใกล้มากพอที่นานาจะสังเกตเห็นร่างกายของลิธที่เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ํา บางแผลก็ลึกแต่ยังดีที่ได้รับการรักษาด้วยเวทย์แสงไปบ้างแล้ว เพียงแต่มันยังมีเลือดไหลอยู่ อย่างน้อยลิธก็พ้นขีดอันตรายแล้ว
“พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? เท่าที่ฉันรู้ถนนที่มุ่งหน้าไปหมู่บ้านเป็นเส้นทางที่ป ลอดภัยนี่นา” ความตื่นตระหนกของนานาล้วนอยู่ในสายตาของขุนนางพ่อลูกทั้งสอง
ลิธทรุดตัวลง มือวางบนเข่า พยายามกลั้นหายใจ
“จําเป็นต้องสร้างแผลให้ตัวเองก่อนจะมาที่นี่หรอ?” โซลัสเอ่ยถามขึ้นมาขณะเป็นห่วงลิธ
“ไม่เจ็บก็ไม่เติบโตนะ” ลิธตอบทางกระแสจิต
“การรอดจากอันตรายที่คุกคามเข้ามาโดยไร้รอยขีดข่วน ต่อสู้กับอัศวินทั้งห้า ด้วยตัวคนเดียว มันน่าสงสัยเกินไป ดังนั้นการสร้างบาดแผลเหล่านี้ขึ้นมามีจุดประสงค์อยู่สองอย่าง”
“อย่างแรก เพื่อทําให้นานาโกรธมากพอที่จะทําในสิ่งที่ต้องทํา อย่างที่สองและสําคัญที่สุดคือเพื่อหลีกเลี่ยงการสอบสวนเพิ่มเติม หากมีอะไรที่พิสูจน์ความวุ่นวายนี้ได้ ก็จะมีคนให้ความสนใจมากขึ้น ยิ่งฉันได้รับความสนใจมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น”
“ตอนนี้ฉันยังไม่มีผู้สนับสนุน คนที่จะเป็นตัวกั้นกลางระหว่างบารอนเน็ตกับครอบครัวฉันก็คือ นานา ฉันไม่สามารถปกป้องครอบครัวได้ตลอดเวลา โชคดีมากแล้วที่พวกมันเล็งเป้าหมายมาที่ฉัน”
“ในอนาคตต้องระวังอย่าปะทะผิดคน อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีพลังมากพอหรือมีคนหนุนหลัง ฉันไม่สนใจเวทมนตร์หรือความร่ํารวยถ้าฉันไม่มีใครให้แบ่งปันด้วย จะไม่มีใครพรากพวกเขาไปจากฉันได้ ไม่มีทาง!”
บทสนทนาทั้งหมดที่คุยกับโซลสดําเนินไปเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น
ลิธยังคงหายใจหอบอยู่ และบอกนานาเรื่องการลอบทําร้าย
“ตอนที่ผมกําาลังมาที่นี่ มีทหารม้าห้านายพยายามบังคับให้ผมเลิกเรียนเวทมนตร์ พอผมปฏิเสธ พวกเขาก็พยายามจะฆ่าผม! ขอบคุณพระเจ้าที่ผมฆ่าหัวหน้าพวกเขาได้ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาใกล้ผม”
“เมื่อเขาตายไป ลูกน้องก็ตกอยู่ในความอลหม่าน ทําให้ผมฆ่าพวกเขาได้ก่อนที่จะมาฆ่าผม”
ลิธสุดหายใจลึก แล้วเอามือปิดตา แสร้งท่าเป็นว่ากาลังกลั้นน้ําตาไว้
“พระเจ้า ผมไม่รู้ว่าทําอะไรลงไป ทุกอย่างมันเบลอไปหมด”
นานาทําสัญญาณมือออกไปเป็นชุดอย่างลื่นไหลแล้วพูดว่า “Vinire Lakhat!”
ปรากฎลูกกลมๆอบอุ่นไปด้วยเวทย์แสงห่อหุ้มร่างกายของลิธ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดของเขา
“พอแล้ว ลิธ ฉันนึกภาพที่เหลือออกแล้ว” นานาลูบหัวลิธ พยายามปลอบโยนเขา
“เธอทําดีแล้ว ที่รักษาแผลสาหัสก่อนค่อยรีบมาเตือนฉันให้ระวังขุนนางเลวๆพวกนี้” จากนั้นนานาก็ยกไม้เท้าขึ้นมา ชี้ใส่หน้าบารอนเน็ตด้วยท่าทางข่มขู่
“ได้โปรด ท่านหญิงเนเรีย อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินไปสิ ผม…”
“เลิกเสแสร้งสักที!” นานาโกรธจัด
“มาพูดๆอยากให้ฉันเชื่อเรื่องความเคารพและตรงต่อเวลา ในขณะเดียวกันวันนี้เด็กคนนี้ก็ถูกลอบทําร้าย ช่างบังเอิญจังเลยนะ คิดว่าฉันโง่มากนักหรอ?”
บารอนเน็ต เทรฮานคุกเข่าลง มือจรดพื้นในท่ายอมจํานน
“ท่านหญิงเนเรีย โปรดเชื่อในเจตนาที่ดีของผมเถอะ ผมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น เด็กคนนี้อาจจะบอบช้ําทางจิตใจและหวาดกลัวเกินไป ทําให้สับสนเรื่องที่ถูกลอบทําร้ายก็เป็นได้ อีกทั้งเขาก็ไม่มีหลักฐานใดๆอีกด้วย ท่านอย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินก่อนที่จะได้รับทราบความจริงทั้งหมด”
เมื่อริคเกอร์เห็นพ่อของตนกําลังคุกเข่าให้กับสามัญชน เขาถึงกับตกใจอย่างขีดสุด แต่ก็ยังคงความเยือกเย็นเอาไว้มากพอที่จําสิ่งที่ต้องการได้ เขาจึงคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยเช่นกัน
“เจตนาดีบ้าอะไร! ฉันรู้จักขุนนางมากพอที่จะเข้าใจสิ่งที่พวกคุณคิด และรู้ดีว่าพวกคณไม่เห็นค่าชีวิตของสามัญชนเลยแม้แต่น้อย ฉันคิดว่า….”
จากนั้นนานาก็หยุดพูดไป ลิธดึงแขนเธอซ้ําๆ เธอรู้ดีว่าเขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าเธอกําลังต่อสู้เพื่อเขาอยู่ การขัดจังหวะเธอแบบนั้นแปลว่าลิธต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแน่ๆ
เขานํานกหวีดเงินออกมาห้าชิ้น หนึ่งในนั้นมีรอยไหม้ นานาหยิบออกมาหนึ่งชิ้นแล้ วเริ่มตรวจดู เธอจตราตระกูลเทรซานได้ในทันทีที่เห็นมันสลักอยู่ด้านบน
“ทําดีมาก ลิธ” เธอกระซิบ
“แม้จะเผชิญหน้ากับอันตราย ก็อย่าปล่อยให้อารมณ์มาบดบังการตัดสินใจได้นั้น คือวิถีของนักเวทย์ที่แท้จริง”
เธอยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ราวกับคุณยายที่ภูมิใจในความสําเร็จของหลานชาย จากนั้นเธอก็หันหลังให้กับพวกเทรฮาน เธอทําสัญญาณมือที่ซับซ้อนด้วยความรวดเร็วขึ้นมา ก่อนจะกระซิบว่า “Ekidu Ruha” ทันใดนั้นแววตาของนานาก็กลายเป็นสีดําด้วยพลังงานความมืด
Ekidu เป็นรากฐานของค่าร่ายเวทย์มีด เหมือนกับ Vinire ที่เป็นรากฐานของคําร่ายเวทย์แสง และ Infiro ก็เป็นของเวทย์ไฟ
เมื่อลิธเห็นเธอร่ายเวทย์มีดออกมา เขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นผลลัพธ์ของมัน ในขณะเดียวกัน วิธีที่เธอร่ายคาถาก็ทําให้เขาสับสนด้วยเช่นกัน
“ทําไมต้องทําสัญญาณมือที่ยุ่งยากพร้อมกับร่ายเวทย์ออกมา? ในเมื่อนานาร่ายเวทย์แบบไร้เสียงได้ ฉันเคยเห็นเธอทํามาแล้วนี่นา หรือเธอร่ายเวทย์ไร้เสียงต่อหน้าพวกเขาไม่ได้นะ? ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะใช้คาถาที่ยุ่งยากและซับซ้อนใส่คนที่อ่อนแอเหล่านั้น”
จากนั้นนานาก็หันกลับไป ใช้ไม้เท้าจิ้มไปยังพ่อลูกทั้งสอง
“เธอเพิ่งใช้คาถาโจมตีพวกเขา” โซลัสบอกกับลิธ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นใช้เวลาเพียง เสี้ยววินาที ไม่มีแม้แต่ประกายเวทมนตร์เล็ดลอดออกมา หากไม่ใช่เพราะการรับรู้มา นาของโซลัส ลิธก็คงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“พอสักที่ อยากได้หลักฐานใช่ไหม? หลักฐานแค่นี้พอไหม?” เธอเป่านกหวีดเงิน ต่อหน้าบารอนเน็ต ที่สหน้ากลับกลายเป็นแดง จากนั้นก็ขาวซีดแล้วกลายเป็นเขียว คล้ํา เขาต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดสะกดความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้น
“ตอนนี้ก็ไสหัวไปได้แล้ว! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับลูกศิษย์ของฉันหรือครอบครัวเขาละก็ ต่อให้สะกิดแม้ปลายเล็บ พวกคุณก็ต้องชดใช้
สองพ่อลูกลุกขึ้นยืน วิ่งกลับขึ้นรถม้าโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคํา ลิธทั้งตกใจ ทั้งผิดหวังในการกระทําของนานา
“ทั้งที่เกลียดชังขุนนางมากถึงขนาดนั้น แต่เธอกลับปล่อยให้มันผ่านไป ทําไมเธอถึงได้มีเมตตาเช่นนี้นะ บ้าจริง!”
นานาไปยังร้านเบเกอรี่ เพื่อคุยกับสารถี คนขับรถม้า ซึ่งกาลังกินขนมระหว่างรอเจ้านายอยู่
“สวัสดี หนุ่มน้อย” เธอเอ่ยทักคนหนุ่ม ซึ่งมีอายุราวๆ 25-26 ปี สูง 177 เซนติเมตร ผมสีบลอนด์ ใบหน้าดูสะอาดสะอ้านไม่มีหนวดเครา ทั้งยังดูใจดีอีกด้วย
“เธอชื่ออะไร?”
“แอนดี้” เขาตอบกลับใขณะที่กําลังกินครีมพัฟอยู่
“แอนดี้หรอ?” นานาเลิกคิ้ว
“ขอพระเจ้าเป็นพยาน ช่างเป็นชื่อที่ประหลาดจริงๆ”
แอนดี้ยักไหล่อย่างไม่สนใจ
“ก็แค่ชื่อเล่นที่ดีกว่าชื่อจริง หลายคนมักจะบอกว่า ฮาซา ดิกา อีโบวาย ออกเสียงยากเกินไป”
นานาถึงกับอึ้งขึ้นมา
“ถึงยังไงก็เถอะ ท่านหญิงนานา คุณมาหาผมทําไมหรือครับ?”
“เธอดูเป็นคนดีนะ ดังนั้นนี่คือค่าแนะนําฉันท์มิตร พาเจ้านายของเธอกลับบ้านให้เร็ วที่สุด จากนั้นก็ไปหางานทําใหม่นะ” เธอขยิบตาให้
แอนดี้รีบปล่อยครีมพัฟไปราวกับมันร้อนมาก แล้วรีบโค้งคํานับให้นานาก่อนจะวิ่งไปยังรถม้า
นานากลับไปที่บ้าน เปิดประตูให้ลิธเข้าไปข้างใน
“จากนั้นล่ะครับ?” ลิธแทบจะสะกดความผิดหวังไม่ได้แล้ว
“เราจะรอการเคลื่อนไหวต่อไปของเขาหรอครับ?”
นานาหัวเราะขึ้นมาอย่างสะใจ
“การเคลื่อนไหวต่อไปหรอ? พวกมันจะตายก่อนที่จะกลับไปถึงบ้านอันหรูหราโอ่อ่าของมันเสียอีก เธอคิดว่าเวทย์มีดมีไว้ทําอะไรล่ะ? ฉันแค่ใช้มันเพราะไม่อยากทําในหมู่บ้านเท่านั้นเอง”
ทันใดนั้นลิธก็รู้สึกว่าตัวเองโงขึ้นมาทันที
“ทําได้ดี! นี่จะเป็นบทเรียนให้พวกเขา” ท้ายที่สุดเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ก็ไม่เชิงหรอก” นานาพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงเย็นชา เธอเข้าไปในห้องส่วนตัว ลิธรีบตามเธอไปทันที
บ้านของนานาคล้ายกับบ้านของลิธมาก แต่ห้องทานข้าวมีขนาดเล็กกว่าห้องนอน บ้านลิธมีถึงสามห้อง แต่ห้องนอนของนานามีเพียงห้องเดียว อีกสองห้องกลายเป็นห้องทํางานและห้องทดลองเล่นแร่แปรธาตุ
เธอเข้าไปในห้องทํางาน เปิดลิ้นชักโต๊ะหนึ่งด้วยกุญแจที่คล้องคอ จากนั้นเธอก็หยิบห่อผ้าออกมา เผยให้เห็นเครื่องรางเงิน มีอัญมณีขนาดเท่าเม็ดถั่วอยู่ตรงกลางมีคาถาอาคมสลักอยู่ทั่วทั้งชิ้น ลิธไม่ต้องใช้ Life Vision ก็รู้ว่ามันเป็นไอเทมเวทย์อย่างแน่นอน
“นี่คือเครื่องรางสื่อสาร สมาชิกของสมาคมเวทมนตร์ทุกคนจะได้รับมาคนละชิ้น ฉันขอเวลาสักครู่เพื่อรายงานเรื่องบารอนเน็ต เทรฮานที่พยายามฆ่าลูกศิษย์ของฉัน”
“พวกเขาเกลียดขุนนางบางคนที่ชอบมายุ่งวุ่นวายกับเรา ก่อนที่ฉันจะเก็บมันกลับไป ทั้งตระกูลเขาจะถูกกวาดล้างออกไป นั่นถึงจะเป็นบทเรียนให้กับขุนนางชั่วร้ายที่เหลือได้
ลิธโค้งคํานับให้กับนานาอย่างสุดซึ้ง เขาแอบขอโทษเธออยู่ในใจที่ดันไปสงสัยในตัวเธอได้
“อาจารย์ ศิษย์กําลังรอคําสั่งของท่านอยู่”
จากนั้นรายงานก็ถูกร่างขึ้นมา เครื่องรางสร้างภาพโฮโลแกรมสามมิติเป็นชายวัยกลางคนหัวล้าน นั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งเป็นระเบียบแลดูสะอาดมาก
ทั้งหมดที่นานาต้องทําก็คือ แนะนําศิษย์ของเธอ เอ่ยชื่อขุนนางออกไป และนักเวทย์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งก็เริ่มให้คําแนะนํากลับมา นานายังให้รายละเอียดข้อเท็จจริงอีกด้วย โดยใช้นกหวีดเงินเป็นหลักฐาน ลิธเห็นได้จากสีหน้าของชายคนนั้นว่า เขาไม่อาจพลาดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้
เขายังคงจดบันทึกทุกอย่าง รวมถึงการสแกนนกหวีดเงินผ่านเครื่องรางอีกด้วย หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น นานาก็มอบหมายงานแรกให้กับลิธ
“เริ่มต้นด้วยการอ่าน พื้นฐานของเวทมนตร์ นั่นคือหนังสือที่เธอพยายามจะยืมเมื่อสามปีที่แล้ว” ลิธพยักหน้า
“อ่านให้ละเอียดนะ ถ้าไม่เข้าใจอะไร ก็มาถามฉันได้ตลอด ถ้าฉันติดคนไข้อยู่ ก็รอฉันจนกว่าจะเสร็จเคส แต่ถ้าไม่ฉุกเฉินอะไร ฉันจะตอบเธอเดี๋ยวนั้นเลย จะได้ไม่ต้องรอ”
“เธอสามารถใช้หนังสือเรียนของฉันได้ เมื่ออ่านพื้นฐานจบแล้ว ฉันจะให้หนังสือ เวทมนตร์ขั้นที่1 กับเธอ”
ลิธรีบวิ่งกลับไปยังห้องรอ เพื่อไปรับรางวัลมา จากนั้นก็นั่งที่โต๊ะโดยมีหนังสือเล่มหนาๆอยู่ตรงหน้าเขา เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาในรั้วมหาวิทยาลัย เขากลับมาเป็นนักเรียนอีกครั้ง รู้สึกถึงความคุ้นเคยและอุ่นใจขึ้นมา
ลิธขจัดอารมณ์เหล่านั้นออกไปแล้วเปิดหนังสือ เริ่มอ่านตั้งแต่ค่านําของผู้เขียน
“ฉันชื่อ โลครา ซิลเวอร์วิง รู้จักในนามแม่มดหญิงที่ฉลาดและเก่งกาจที่สุดในอาณาจักรกริฟฟอน และยังเป็นคนเดียวในรุ่นที่ได้รับฉายา Magus …”
“อะไรคือ Magus? ไม่ใช่แค่คําพ้องของ mage รีไง?”
ลิธหยุดอยู่ครู่หนึ่ง จดบันทึกไว้ในใจเพื่อถามถึงล่าดับขั้นของนักเวทย์
“… ฉันต้องการอุทิศหนังสือเล่มนี้ให้กับผู้อ่านสตรีเพศทุกท่าน โดยหวังว่าพวกเขาจะใช้หนังสือเล่มนี้ให้เกิดประโยชน์และสามารถปลดปล่อยศักยภาพที่เหนือขึ้นไปได้”
“ในโลกที่เต็มไปด้วยสงครามที่บุรุษเป็นผู้ก่อขึ้น การรักษาตําแหน่งผู้นําด้านเวทมนตร์ก็เป็นสิ่งสําคัญที่สุดสําหรับสตรีเพศอย่างเรา ให้จิตใจที่สงบของเราบรรเทาความโกรธเกรี้ยวป่าเถื่อนที่อยู่ในใจพวกเขา”
“บ้าอะไรเนี่ย?!” ลิธสบถพร้อมกับกระโดดลงจากเก้าอี้
เขาวิ่งตรงไปหานานา พร้อมกับหนังสือในมือ ต้องการคําอธิบายอย่างมาก
“ขอโทษนะที่ท่าให้เธอตกใจ แต่นั่นคือความจริง” นานาหัวเราะคิก
“ผู้ชายมักจะมีความแกร่งทางด้านกายภาพมากกว่าผู้หญิง ส่วนผู้หญิงก็มักจะใช้ เวทมนตร์ได้ดีกว่าผู้ชายนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ” (อ่านตอนที่ 12 เพิ่มเติม)
“ให้ตายเถอะ!” ลิธกรีดร้องในใจ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของโซลัส
“นั่นแปลว่าผมเริ่มต้นด้วยอะไรที่ไม่ถนัดใช่ไหม?” ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เขาพูดจ ริงๆ
“ใช่แล้ว อิมพ์ตัวน้อย ไม่ว่าจะในอาณาจักรกริฟฟอน จักรวรรดิกอร์กอน หรือในชนเผ่าทะเลทราย Blood Sand ผู้หญิงมักจะมีบทบาทสําคัญในสมาคมเวทมนตร์ต่างๆ แต่ฉันเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันที่จะมีลูกศิษย์เป็นผู้ชายนะ”
“ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ฉันเรียนอยู่ที่สถาบัน นักเรียน70% เป็นผู้หญิง ฉันไม่คิดว่าสิ่งต่างๆจะเปลี่ยนไปมากขาดนี้ เมื่อมีการตั้งเป้าหมายไปที่จุดสูงสุด พวกเขาก็จะแข่งขันกันอย่างดุเดือดทีเดียวเชียว”
“เยี่ยมเลย” ลิธรู้สึกท้อแท้ขึ้นมา เขาไม่ใช่คนประเภทเลือกที่รักมักที่ชัง เขาดูถูกมนุษย์โดยไม่สนใจเพศ สิ่งที่ทําให้เขารู้สึกท้อแท้ก็คือ การที่เขาสูญเสียความมั่นใจไปอีกครั้งหนึ่ง
“ไม่รวย, ไม่มีพรสวรรค์, ไม่หล่อ แล้วยังเป็นเพศที่ไม่เหมาะจะใช้เวทมนตร์อีกด้วย เยี่ยมจริงๆ” เขาคิด
“เอาน่า” นานาลูบหัวเขา
“อย่าเศร้าไปเลย ในประวัติศาสตร์ก็มีนักเวทย์ชายที่ทรงพลังมาก สิ่งสําคัญคือพรสวรรค์ไม่ใช่เพศหรอกนะ สักวันหนึ่งเธอก็อาจจะได้เป็น Magus ก็ได้”
“โอ้ ใช่เลย ผมเกือบลืมไปแน่ะ นั่นคือคําถามที่สอง Magus คืออะไรหรอครับ?”